ดึกสงัดของคืนหนึ่งในอัสวาน ฉันและเพื่อนๆ ต้องบังคับตัวเองให้ลุกจากเตียงที่แสนอบอุ่นขึ้นรถบัสท่ามกลางความง่วงงุน การเดินทางของเรามีจุดหมายปลายทางที่ อาบูซิมเบล (Abu Simbel) มหาวิหารที่ยิ่งใหญ่แห่งฟาโรห์รามเสสที่ 2 ซึ่งซ่อนตัวอยู่ริมชายแดนซูดาน ห่างจากอัสวานราว 280 กิโลเมตร
นโยบายความปลอดภัยของรัฐบาลอียิปต์กำหนดให้นักท่องเที่ยวต้องเดินทางไปอาบูซิมเบลเป็นขบวนคอนวอยที่มีตำรวจนำขบวนเพื่อป้องกันอันตรายจากภูมิภาคที่เปราะบาง รถบัสหลายสิบคันจอดเรียงกันเป็นระเบียบ รอเวลาล้อหมุนตั้งแต่ตี 2 แรกเริ่มขบวนยังเป็นระเบียบ แต่เมื่อเวลาผ่านไป รถแต่ละคันก็ค่อยๆ กระจายห่างกันออกไป ราวกับว่าทะเลทรายกว้างใหญ่ได้กลืนกินขบวนของเราไปทีละเล็กทีละน้อย
ค่ำคืนแห่งทะเลทรายและหมู่ดวงดาว
เส้นทางจากอัสวานไปอาบูซิมเบลเป็นถนนสายยาวทอดผ่านใจกลางทะเลทราย ไม่มีบ้านเรือน ไม่มีแสงไฟ มีเพียงผืนทรายทอดยาวสุดลูกหูลูกตา การเดินทางในความมืดสนิทเช่นนี้ทำให้ฉันหลับไปโดยไม่รู้ตัว แต่ไม่นานนัก ฉันก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะความอึดอัดของเบาะรถบัสที่ไม่นุ่มสบายเหมือนเตียงที่โรงแรม
เมื่อลองเปิดม่านหน้าต่างออก ฉันต้องตะลึงกับภาพเบื้องหน้า ทะเลทรายที่ดูรกร้างและเงียบงันพลันกลายเป็นฉากมหัศจรรย์ของธรรมชาติ เบื้องบน ท้องฟ้าปกคลุมด้วยหมู่ดาวนับพันระยิบระยับราวกับเพชรเม็ดเล็กๆ ประดับอยู่บนผืนกำมะหยี่สีดำ ความเงียบสงบของทะเลทรายตัดกับประกายแสงแห่งจักรวาล ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปยังยุคที่ฟาโรห์ยังทรงพระชนม์
ภูมิประเทศแห่งความท้าทายและจินตนาการถึงอดีตกาล
เส้นทางที่เราผ่านอาจดูเงียบเหงา แต่เมื่อย้อนกลับไปเมื่อกว่า 3,000 ปีก่อน ดินแดนแห่งนี้คงเต็มไปด้วยขบวนคาราวานพ่อค้า ทหาร และแรงงานที่เดินทางฝ่าทะเลทรายอันร้อนระอุเพื่อสร้างมหาวิหารอันยิ่งใหญ่ ฉันลองจินตนาการถึงฟาโรห์รามเสสที่ 2 ที่ทรงม้าเดินทางจากเมืองธีบส์ (Thebes) มายังเขตชายแดนนูเบีย (Nubia) เพื่อแสดงอำนาจเหนือดินแดนนี้ การสร้างอาบูซิมเบลไม่ใช่แค่การบูชาเทพเจ้า แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของจักรวรรดิอียิปต์ในยุคนั้น
อาบูซิมเบล: มหาวิหารแห่งความยิ่งใหญ่
ในที่สุด รถบัสของเราก็มาถึงอาบูซิมเบลในช่วงรุ่งสาง ตะวันแรกของวันค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้า สาดแสงสีทองกระทบลงบนรูปสลักฟาโรห์รามเสสที่ 2 สี่องค์ที่นั่งตระหง่านอยู่หน้าวิหาร ซึ่งสร้างขึ้นในช่วงปี 1274-1244 ปีก่อนคริสตกาล ในรัชสมัยของพระองค์ แต่ละองค์สูงถึง 30 เมตร กว้าง 35 เมตร สายพระเนตรของรูปสลักทอดยาวข้ามแม่น้ำไนล์และทะเลทรายอย่างสงบน่าเกรงขาม
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ฉันสังเกตเห็นว่ามีเพียงรูปปั้นที่อยู่ด้านซ้ายองค์หนึ่งที่ศีรษะหักลงมา ภัยจากแผ่นดินไหวในอดีตอาจทำให้เกิดความเสียหายนี้ แต่ก็ไม่อาจลดทอนความยิ่งใหญ่ของสถานที่ได้
ด้านในมหาวิหารยังคงรักษาความศักดิ์สิทธิ์ไว้ได้อย่างสมบูรณ์ เสาหินสูงที่แกะสลักเป็นรูปของรามเสสที่ 2 เรียงรายเป็นแนวทางเดินไปยังห้องบูชาลึกสุด ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานเทพเจ้า รา-ฮอรัคที (Ra-Horakhty) , อมุน (Amun) , พธา (Ptah) และรามเสสที่ 2 เองที่ได้รับการเทิดทูนเป็นเทพเจ้า ในทุกวันที่ 22 กุมภาพันธ์และ 22 ตุลาคม แสงอาทิตย์จะส่องผ่านแนวเสาไฮโปสไตล์เข้าไปกระทบองค์เทพทั้งสาม ยกเว้นเทพพธา ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเทพแห่งความมืด จึงไม่ควรถูกแสงอาทิตย์แตะต้อง
วิหารแห่งราชินีเนเฟอร์ตารี: สัญลักษณ์แห่งความรัก
ถัดจากมหาวิหารหลักคือ วิหารฮาธอร์ (Temple of Hathor) ซึ่งสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่พระนางเนเฟอร์ตารี มเหสีผู้เป็นที่รักของรามเสสที่ 2 เสาหินด้านในแกะสลักเป็นพระนางเนเฟอร์ตารีอย่างอ่อนช้อย วิหารแห่งนี้อาจมีขนาดเล็กกว่าอาบูซิมเบล แต่กลับอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความรักและความศรัทธา
ภารกิจย้ายมหาวิหาร: ปฏิบัติการกู้วิหารแห่งศตวรรษ
อาบูซิมเบลไม่ได้เป็นเพียงสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวอย่างของความร่วมมือระดับนานาชาติในยุคสมัยใหม่ เมื่ออียิปต์วางแผนสร้าง เขื่อนอัสวาน (Aswan High Dam) ในช่วงปี 1960 มันทำให้เกิดทะเลสาบนัสเซอร์ (Lake Nasser) ซึ่งจะจมทับมหาวิหารอาบูซิมเบลโดยสมบูรณ์ โครงการกู้ภัยระดับโลกจึงเกิดขึ้น ยูเนสโกและนานาชาติต้องระดมทุนกว่า 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และใช้เวลากว่า 4 ปีตัดแยกมหาวิหารออกเป็นกว่า 1,050 ชิ้น เพื่อนำไปประกอบใหม่บนที่สูงกว่าระดับเดิม 65 เมตร เป็นหนึ่งในความสำเร็จทางวิศวกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 20






Leave a Reply