ท้องฟ้าครึ้มฝนเกือบตลอดเวลาที่เราอยู่ในดินแดนไร้ที่ราบ ทางตอนเหนือของอินเดียฝั่งตะวันออก แนวเทือกเขาเขียวชอุ่มปกคลุมไปด้วยต้นไม้หนาทึบ มีส่วนคล้ายกับภาคเหนือของเมืองไทยไม่น้อย หากแต่ที่นี่หนาวเย็นกว่ามาก โดยเฉพาะเส้นทางจากสิกขิมมุ่งสู่ยุมถัง เราต้องฝ่าฝนที่ตกหนัก ถนนลื่นและคดเคี้ยวไปตามไหล่เขา ฉันที่นั่งหลับๆ ตื่นๆ บนรถต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมานั่งนิ่ง ลุ้นไปกับการขับขี่ของคนขับ เพราะเบื้องข้างของฉันคือหุบเหวสูงชัน และยิ่งตื่นเต้นขึ้นทุกครั้งที่รถอีกฝั่งสวนลงมา หากเป็นจังหวะที่รถของเราอยู่ริมขอบเหว ฉันยิ่งรู้สึกเหมือนลมหายใจสะดุด อยากจะร้องโวยวายแต่ก็กลัวจะทำให้คนขับเสียสมาธิ ได้แต่ทำหน้าเกร็ง ลุ้นสุดตัว หวังว่าลุงคนขับจะสังเกตเห็นความหวาดหวั่นที่แฝงอยู่บนใบหน้าของฉันบ้าง
ฉันมีประสบการณ์นั่งรถแบบนี้ในอินเดียมาหลายครั้ง จนเริ่มชาชินกับเสียงแตรที่ดังก้องไปทั่ว แตกต่างจากครั้งแรกที่มาถึงอินเดียโดยสิ้นเชิง ตอนนั้นฉันรำคาญเสียงแตรเหลือเกิน และมักจะบ่นกับเพื่อนๆ ว่า “มึงจะบีบแตรกันไปถึงไหนวะ” แต่เมื่อเวลาผ่านไป ฉันเริ่มเข้าใจและยอมรับเสียงเหล่านั้น กลับรู้สึกปลอดภัยเสียด้วยซ้ำเมื่อได้ยิน เพราะมันเป็นการส่งสัญญาณเตือนกันบนเส้นทางคับแคบและอันตราย จนบางครั้งถ้าคนขับเงียบเกินไป ฉันเองก็แทบอยากจะยื่นมือไปกดแตรให้เสียเอง
เส้นทางและภูมิประเทศในแถบนี้ โดยรวมแล้วไม่ได้ทำให้ฉันตื่นตาตื่นใจเป็นพิเศษ เพราะมีความคล้ายคลึงกับทางภาคเหนือของไทย สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวครึ้ม แตกต่างจากลาดักค์ ซึ่งเป็นเทือกเขาแห้งแล้งและดูแปลกตาสำหรับฉันมากกว่า ที่สำคัญ อากาศในวันนี้ยังมืดครึ้ม ไม่สดใส ทำให้บรรยากาศรอบตัวดูหม่นหมองตามไปด้วย ฉันมองเห็นดอกกุหลาบพันปีที่ขึ้นแซมอยู่ตามป่าเขา แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันงดงามเป็นพิเศษ ต้นสูงๆ แกรนๆ ดอกก็ไม่ได้เรียงรายงามตาเหมือนในสวนที่เคยเห็น หากเทียบกับสวนดอกไม้ในแคชเมียร์ก็ยิ่งห่างไกลจากความประทับใจไปอีก “แต่ก็เอาเหอะ คิดซะว่าเปิดหูเปิดตา เห็นโลกให้มากขึ้นอีกหน่อย” ฉันปลอบใจตัวเองเพียงเท่านี้เกี่ยวกับการมาเที่ยวสิกขิม
แต่แล้ว ความคิดของฉันก็เปลี่ยนไปทันทีเมื่อท้องฟ้าเปิดเผยให้เห็นเทือกเขาสูงใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังเมฆหมอก ทิวเขาคันเช็งจุงก้า (Kanchendzonga) ในเช้าวันที่ฟ้าแจ่มใส ณ เพลลิ่ง (Pelling) ปรากฏต่อสายตา ฉันแทบลืมหายใจกับภาพตรงหน้า แสงแดดยามเช้าส่องกระทบทิวเขาหิมะเปล่งประกายสีทอง อาบไล้ลงมาถึงเทือกเขาสีเขียวเบื้องล่าง ดอกไม้หลากสีเริ่มแย้มบาน อากาศสดชื่นจนฉันรู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
ฉันเดินลงมาชมความงามของภูเขาในยามเช้า ลุงคนขับรถที่เห็นฉันเดินทอดน่องอยู่ รีบเข้ามาหาพร้อมชี้ชวนให้ดูยอดเขาคันเช็งจุงก้า ดวงตาของลุงเปล่งประกายด้วยความภาคภูมิใจและศรัทธาที่มีต่อเทือกเขานี้ ลุงเล่าให้ฟังว่า ชื่อคันเช็งจุงก้า หมายถึง “ทรัพย์สมบัติทั้งห้า” ซึ่งประกอบด้วย ทอง เงิน เพชรพลอย เมล็ดพันธุ์พืช และคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นความเชื่อที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ
หลังจากค่ำคืนที่ฝนตกกระหน่ำ สิกขิมในเช้าวันใหม่ได้เผยให้ฉันเห็นอีกด้านหนึ่งของมัน ฉันเริ่มมองเห็นความงามของที่นี่อย่างแท้จริง เทือกเขาสูงอันดับสามของโลกตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ฉันพบว่าดอกไม้ที่ฉันเคยมองข้าม กลับงดงามในแบบของมันเอง ดอกแดงเล็กๆ บนกิ่งไม้ที่แทบจะหัก ทุ่งดอกไม้สีเหลือง สีม่วง สีเขียวที่กระจัดกระจายตามแนวหุบเขา ทุกอย่างดูมีชีวิตชีวา แม้แต่ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ได้กว้างใหญ่ หรือมีภูเขาสูงเป็นฉากหลัง แต่กลับเต็มไปด้วยพลังแห่งศรัทธาของผู้คน บทสวดมนต์ที่ก้องกังวานไปทั่วพื้นน้ำยิ่งทำให้บรรยากาศขลังและศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปอีก
เหล่านี้คือเสน่ห์ของสิกขิม ดินแดนที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลากเชื้อชาติ ทั้งอินเดีย ทิเบต เลปชา และเนปาล ต่างอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข และทั้งหมดล้วนมีเทือกเขาคันเช็งจุงก้าเป็นเสมือนผู้ปกปักรักษา ณ ขอบฟ้าของสิกขิม






Leave a Reply