ก่อนออกเดินทางสู่ทริป 4 วัน 3 คืนเพื่อสัมผัสความงดงามของธรรมชาติทางตอนเหนือของสิกขิม เมื่อออกจากเมืองกังต็อก (Gangtok) ไกด์พาเราแวะชมเมืองเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยตำนานพื้นบ้านของชาวเลปชา (Lepcha) และพูเธีย (Bhutia) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมของดินแดนภูเขาแห่งนี้ หนึ่งในสถานที่สำคัญที่เราแวะชมคือ Kabi Longshok ซึ่งสันนิษฐานว่าเคยเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ และเป็นจุดเริ่มต้นของการผสมผสานวัฒนธรรมระหว่างชนเผ่าพื้นเมืองกับผู้มาใหม่จากทิเบต
หลังจากได้รับฟังเรื่องราวจากไกด์ โชคดีที่ฉันได้ค้นพบข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือ Travel Guide ของคุณรอน แรมทาง ซึ่งกล่าวถึงประวัติศาสตร์และตำนานของชาวเลปชาอย่างละเอียด จึงขอหยิบยกเนื้อหามาแบ่งปันเพื่อให้เพื่อนนักเดินทางได้เข้าใจเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของดินแดนแห่งนี้มากขึ้น
ตำนานของชาวเลปชาและการก่อตั้งสิกขิม
ชาวเลปชาเป็นชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิมของดินแดนสิกขิม พวกเขาเป็นชนเผ่าที่รักสงบ มีนิสัยเอื้ออารี และเคารพธรรมชาติและวิญญาณบรรพบุรุษ แม้ว่าชาวเลปชาจะมีภาษาพูดของตนเอง แต่พวกเขาไม่มีอักษรเขียน ประวัติศาสตร์จึงถูกถ่ายทอดผ่านการเล่าขานจากรุ่นสู่รุ่น
ตามตำนานเล่าว่า ผู้นำคนแรกของชาวเลปชา คือ ตูร์เว ปาโน (Turve Pano) ผู้สามารถรวบรวมผู้คนและตั้งตนเป็น พูนู (Punu) หรือผู้นำแห่งดินแดน “นเย-แม-เอล” (Nye-maa-el) ซึ่งหมายถึง “สวรรค์” อย่างไรก็ตาม ตูร์เว ปาโน เสียชีวิตจากสงครามกับชนเผ่าชาวเนปาล หลังจากนั้น ชาวเลปชามีพูนูปกครองอีกสามรุ่น ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองมาเป็นการเลือกหัวหน้าเผ่าที่มีคุณสมบัติพิเศษแทน
การมาถึงของชาวทิเบต
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 13 หัวหน้าเผ่านาม ธีฆุง เต็ก (Thekung Tek) ปกครองดินแดนของชาวเลปชา ในช่วงเวลานั้น หัวหน้าเผ่าชาวคัมปาจากทิเบต ฆเย บุมชา (Khye Bumsa) กำลังประสบปัญหาไม่มีบุตรสืบสกุล พระลามะรูปหนึ่งจึงแนะนำให้เขาเดินทางไปขอพรจากหัวหน้าเผ่าชาวเลปชา
ฆเย บุมชา พร้อมบริวารเดินทางข้ามช่องเขา ยัค-ล่า (Yak-La) และ สัตตะล่า (Satta-La) จนกระทั่งมาถึงเขตของชาวเลปชา และได้พบกับชายชราผู้หนึ่งในป่าลึก ชายชราคนนั้นคือ ธีฆุง เต็ก หัวหน้าเผ่าเลปชา หลังจากฆเย บุมชาได้มอบเครื่องบรรณาการ ธีฆุง เต็ก ได้กล่าวคำทำนายว่า
“เจ้าจะได้เป็นบิดาของบุตรสามคน… และในอนาคต ทายาทของเจ้าจะได้ปกครองดินแดนแห่งนี้ ส่วนชาวเลปชาจะกลายเป็นไพร่ฟ้า”
ต่อมา ภรรยาของฆเย บุมชาให้กำเนิดบุตรสามคน เมื่อเติบโตขึ้น พวกเขากลับไปหาธีฆุง เต็ก และมีพิธีสาบานเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิต ณ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ Kabi Longshok โดยประกาศสาบานใต้ร่มเงาป่าทึบและแท่นหินใหญ่ 9 แท่น ท่ามกลางเทพบริษัทแห่งแดนดินเป็นพยาน นับแต่นั้นเป็นต้นมา ชาวเลปชาและชาวคัมปาได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ และชาวคัมปาได้รับอำนาจปกครองดินแดนแห่งนี้
กำเนิดชาวพูเธียและอาณาจักรสิกขิม
ลูกหลานของชาวคัมปาแต่งงานกับชาวพื้นเมืองเลปชา และได้นำวัฒนธรรม ศาสนา ภาษา และจารีตประเพณีจากทิเบตเข้ามาผสมผสาน กลายเป็นกลุ่มชนที่เรียกว่าชาว พูเธีย (Bhutia) ซึ่งต่อมาได้สถาปนาอาณาจักรสิกขิมขึ้นมา ส่วนดินแดนของชาวเลปชาเดิมก็กลายเป็นที่รู้จักในชื่อ เดโมจง (Demojong) หรือ สิกขิม ในปัจจุบัน






Leave a Reply