เมื่อก้าวลงจากแท็กซี่ที่พาเรามาจากสถานีรถไฟ เราสองคนมุ่งหน้าไปยังจตุรัส Djemaa el Fna ศูนย์กลางแห่งชีวิตของเมืองมาราเกซ บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ทั้งรถมอเตอร์ไซค์ รถยนต์ รถเข็นของ รวมไปถึงลาที่ลากสินค้า ตลอดจนเสียงเรียกทักทายจากผู้คนที่พร้อมจะช่วยเหลือนักท่องเที่ยวใหม่เอี่ยมอย่างเรา คำถามจากรอบทิศทางที่ดังเข้ามาไม่ขาดสาย “คนนิจิวะ?” “หนีห่าว?” “Where are you from?” ทำให้เรายังไม่ทันได้ตั้งตัวดี ก็กลายเป็นจุดสนใจไปเสียแล้ว
เราพยายามหาจุดที่ตั้งของเราบนแผนที่ แต่ด้วยความวุ่นวายรอบตัว ก็ทำให้การสำรวจเส้นทางกลายเป็นเรื่องยากลำบาก จนกระทั่งมีใครบางคนจับใจความจากบทสนทนาเราได้ว่ากำลังหาทางไปที่พัก พวกเขาอาสานำทางทันที แม้ว่าเราจะไม่ได้ร้องขอ สุดท้ายเมื่อปฏิเสธไม่สำเร็จ เราก็ต้องยอมจ่ายค่านำทางไปโดยปริยาย

Djemaa el Fna: หัวใจแห่งมาราเกซ
เราไปถึงจตุรัสแห่งนี้ในช่วงบ่าย บรรยากาศคึกคักไปด้วยร้านค้าและผู้คนเดินขวักไขว่ ทว่าหลังจากเก็บสัมภาระที่พักแล้วกลับออกมาอีกครั้งในยามเย็น เราก็พบว่าความคึกคักเมื่อช่วงบ่ายเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า จตุรัสกลับมีชีวิตชีวายิ่งขึ้นไปอีก
ตลาดหรือ ซุค (souqs) ที่โอบล้อมจตุรัสเต็มไปด้วยร้านขายเครื่องเทศ โคมไฟ น้ำหอม และของที่ระลึก ส่วนลานกว้างตรงกลางจตุรัสนั้นเต็มไปด้วยร้านขายน้ำส้มสด ขายถั่ว ขายขนมหวาน และร้านอาหารที่ส่งกลิ่นหอมพร้อมควันที่ลอยอวลในอากาศ ทุกมุมของจตุรัสมีการแสดงและกิจกรรมให้ชม มีทั้งนักเล่าเรื่องที่ล้อมวงฟังกันอย่างตั้งใจ นักดนตรีที่เดินทางมาไกล หมองูที่เรียกลูกค้าให้เข้ามาชมโชว์ หรือแม้แต่กลุ่มหญิงสาวที่นั่งเพนต์เฮนน่าบนมือนักท่องเที่ยว
Djemaa el Fna เป็นศูนย์รวมของวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่สืบทอดมาตั้งแต่อดีตหลายร้อยปี เดิมที่นี่เป็นสถานที่พบปะของผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ โดยเฉพาะพ่อค้าที่เดินทางจากทะเลทรายสู่เมือง จตุรัสแห่งนี้จึงเป็นเหมือน “เวทีชีวิต” ที่เต็มไปด้วยสีสันและพลังของผู้คน จนได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็น มรดกโลกทางวัฒนธรรมที่มีชีวิต โดยยูเนสโก
ชื่อ Djemaa el Fna มีความหมายลึกซึ้ง “Djemaa” หมายถึง “สถานที่พบปะ” ส่วน “el Fna” หมายถึง “จุดสิ้นสุด” หรือ “ความตาย” เมื่อรวมกันจึงกลายเป็น “Meeting place at the end of the world” หรือ “จุดนัดพบที่ชายขอบของโลก” ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ได้อย่างดี
Hammam: ประสบการณ์แห่งการอาบน้ำแบบโมร็อกกัน
อีกหนึ่งประสบการณ์ที่ไม่อาจลืมเลือนของเราคือการไป Hammam หรือโรงอาบน้ำแบบดั้งเดิมของชาวโมร็อกโก การอาบน้ำที่นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของความสะอาด แต่เป็นวัฒนธรรมและการพบปะสังสรรค์ โดยเฉพาะในหมู่ผู้หญิงที่มักจะมารวมตัวกันเพื่อผ่อนคลายและพูดคุย โดยเฉพาะก่อนวันแต่งงาน เจ้าสาวมักจะพาญาติสนิทมิตรสหายมาอาบน้ำร่วมกันเหมือนเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่ง
Hammam มีทั้งแบบหรูหราในโรงแรมและแบบดั้งเดิม เราเลือกไปที่โรงอาบน้ำสาธารณะใกล้ที่พัก ค่าเข้าเพียง 10 ดีร์แฮม (DH) และมีบริการขัดตัว (Gommage) ในราคา 50 DH บรรยากาศภายในเป็นโถงกว้าง มีไอน้ำร้อนช่วยผ่อนคลายความหนาวเย็นจากภายนอก เมื่อเข้าไปถึง เราทั้งสองคนต่างก็งุนงงและเขินอายอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่ง “ป้า” คนหนึ่งเดินเข้ามาแนะนำให้เราถอดเสื้อผ้าออกหมด (ใช่ค่ะ หมดจริงๆ!) แล้วพาเราไปยังห้องอาบน้ำ
ขั้นตอนการอาบน้ำแบบ Hammam นั้นละเอียดและเข้มข้นกว่าการอาบน้ำทั่วไปมาก เราถูกขัดตัวอย่างแรงด้วยถุงมือขัดผิวพิเศษ รู้สึกเหมือนคราบไคลที่สะสมมายาวนานถูกลอกออกไปหมดสิ้น ป้านวด ฟอกสบู่ สระผม และล้างตัวให้เราจนสะอาดเอี่ยม ความรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กที่ถูกแม่อาบน้ำให้ก็ไม่ปาน พอเสร็จแล้วเรารู้สึกตัวเบาสบายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เป็นการอาบน้ำที่ทั้งโหดและฟินในเวลาเดียวกัน
คืนแรกในมาราเกซของเราผ่านไปด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลจากเมืองไทย แต่ก็คุ้มค่ากับประสบการณ์อันแสนพิเศษที่ได้รับ เราหลับสนิทด้วยความรู้สึกสดชื่นและพร้อมที่จะออกไปสำรวจเสน่ห์ของโมร็อกโกในวันต่อไป






Leave a Reply