Nim Journey

A Legend of Travel

Posted in , ,

หลังจากนั่งเครื่องนานกว่า 16 ชั่วโมง เราก็มาถึงโมร็อคโค ประเทศแรกในทวีปแอฟริกา เมืองหลวงของโมร็อคโคคือเมืองราบัต (Rabat) แต่สนามบินที่เรามาลงคือเมืองคาซาบลังกา (Casablanca) เมืองที่หลายคนน่าจะคุ้นหูกัน เพราะเคยถูกใช้เป็นฉากในภาพยนตร์คลาสสิกเรื่อง “Casablanca” ที่เล่าถึงความรักระหว่างนายทหารอเมริกันและหญิงคนรัก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นอกจากนี้ เมืองนี้ยังเป็นที่รู้จักจากบทเพลงที่มีชื่อเดียวกัน

แต่วันนี้เรายังไม่เที่ยวเมืองคาซาบลังกา เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักใช้เมืองนี้เป็นทางผ่านไปยังจุดหมายที่น่าสนใจมากกว่า และเราก็เป็นหนึ่งในนั้น

หลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง เราเดินลงมาด้านล่างเพื่อไปสถานีรถไฟ ซึ่งจะนำเราไปยังเมืองมาราเกซ (Marrakesh) เมืองที่เต็มไปด้วยเสน่ห์และวัฒนธรรม เราตัดสินใจซื้อตั๋วรถไฟชั้นสองเพื่อประหยัดงบประมาณ ราคาตั๋วรวมการเปลี่ยนขบวนที่สถานี L’ OASIS อยู่ที่ 130 ดีแรห์ม (1 ดีแรห์ม ประมาณ 4.60 บาท) การเดินทางใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง

บนรถไฟชั้นสองของโมร็อคโค ห้องโดยสารแบ่งเป็นห้องละ 8 ที่นั่ง ไม่มีการระบุที่นั่งแน่นอน ทำให้เราต้องเดินหาที่นั่งเอง เราสองคนเลือกเข้าไปนั่งในห้องที่มีชายหนุ่มท่าทางเคร่งขรึมอยู่ก่อนแล้ว ระหว่างทาง ผู้โดยสารขึ้นลงตลอด และบางช่วงที่คนแน่นก็ต้องมีการยืนกันบ้าง

Marrakesh : The Pink City

เมื่อใกล้ถึงมาราเกซ เราเริ่มมองออกไปนอกหน้าต่าง ภาพที่เห็นยังคงเป็นทิวทัศน์แห้งแล้ง ไม่น่าเชื่อว่าเรากำลังเข้าสู่เมืองใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของโมร็อคโค จนกระทั่งอาคารสีชมพูเริ่มปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ เราจึงมั่นใจว่าเรามาถึงแล้ว

จากสถานีรถไฟ เราเรียกแท็กซี่เล็ก (Petit Taxi) ไปยังเขตเมืองเก่า หรือที่เรียกว่า “เมดิน่า” (Medina) ค่าโดยสารอยู่ที่ 15 ดีแรห์ม แท็กซี่ส่วนใหญ่ในโมร็อคโคติดมิเตอร์ แต่แทบทุกคันมักใช้งานไม่ได้ ดังนั้นนักท่องเที่ยวจึงต้องตกลงราคาก่อนขึ้นรถ

เมดิน่า : หัวใจแห่งมาราเกซ

เมดิน่าเป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของมาราเกซ เต็มไปด้วยตรอกซอกซอยแคบ ๆ และตลาดพื้นเมืองที่เรียกว่า “ซูกส์” (Souks) ซึ่งขายสินค้านานาชนิด เช่น เครื่องเทศ พรม เครื่องหนัง และรองเท้าแตะ เราเดินสำรวจตรอกเล็ก ๆ เหล่านี้ และพบว่าการเดินทางในเมดิน่าโดยไม่มีแผนที่อาจทำให้หลงทางได้ง่าย

Riad : ที่พักสุดเริ่ด

เราเลือกพักใน “ริยาด” (Riad) ที่พักแบบดั้งเดิมของโมร็อคโค ที่ตกแต่งด้วยสวนกลาง ลานน้ำพุ และงานกระเบื้องสุดวิจิตร หลังจากเดินหาอยู่พักหนึ่ง เราพบที่พักชื่อ “Riad Tizgui” ซึ่งตั้งอยู่ใกล้จัตุรัสหลัก Djemaa el Fna ราคาคืนละ 400 ดีแรห์ม รวมอาหารเช้า บรรยากาศภายในเงียบสงบ มีสวนกลางและชั้นดาดฟ้าที่สามารถขึ้นไปชมวิวของเมืองได้

สำรวจมาราเกซ

สิ่งสำคัญที่ต้องพกติดตัวเสมอเมื่อเดินทางในมาราเกซคือแผนที่ เพราะตรอกซอกซอยภายในเมืองเก่าอาจทำให้หลงทางได้ง่าย เราเริ่มต้นวันใหม่ด้วยอาหารเช้าแบบโมร็อคโค จากนั้นออกเดินสำรวจเมือง พร้อมสัมผัสชีวิตยามเช้าของชาวท้องถิ่น

สถานที่แรกที่เราไปเยือนคือ พระราชวังบาเฮีย (Bahia Palace) ซึ่งสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19 และเป็นหนึ่งในพระราชวังที่สวยงามที่สุดในมาราเกซ การตกแต่งภายในมีลวดลายไม้แกะสลักและกระเบื้องโมเสกสีสันสดใส เราเดินชมภายในพระราชวังและพบว่ามีการจัดแสดงงานศิลปะสมัยใหม่ควบคู่ไปกับสถาปัตยกรรมดั้งเดิม ทำให้การเยี่ยมชมที่นี่น่าสนใจมากขึ้น

สุสานแห่งราชวงศ์ซาเดียน (Saadian Tombs)

สุสานแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญ ถูกค้นพบในปี 1917 โดยนักโบราณคดีฝรั่งเศส ภายในเป็นสุสานของราชวงศ์ซาเดียนที่เคยปกครองโมร็อคโคในศตวรรษที่ 16 การตกแต่งภายในมีความวิจิตรงดงาม ผนังและเพดานแกะสลักอย่างประณีต เสาหินอ่อนสีขาวเรียงราย และมีสวนเล็ก ๆ ด้านนอกที่ร่มรื่น

Majorelle Garden : สวนแห่งสีสัน

หนึ่งในสถานที่ที่เราหลงรักมากที่สุดคือ Majorelle Garden สวนแห่งนี้สร้างขึ้นโดยศิลปินชาวฝรั่งเศส Louis Majorelle และต่อมาถูกซื้อโดยดีไซเนอร์ชื่อดัง อีฟ แซงต์ โลรองต์ (Yves Saint Laurent) ที่นี่เต็มไปด้วยต้นไม้จากทะเลทราย เช่น กระบองเพชรและปาล์ม ท่ามกลางสีสันสดใสของอาคารและกำแพงที่ทาด้วยแม่สีอย่างเหลือง ฟ้า และเขียว ทำให้บรรยากาศในสวนแห่งนี้ดูมีชีวิตชีวา

มาราเกซเป็นเมืองที่มีเสน่ห์และเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ แม้ว่าการเดินทางจะต้องระมัดระวังจากพวกมิจฉาชีพหรือผู้ที่หวังเงินจากนักท่องเที่ยว แต่ความงดงามของเมือง วัฒนธรรมท้องถิ่น และมนต์เสน่ห์ของเมดิน่าทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ควรมาสัมผัสสักครั้งในชีวิต

Leave a Reply

เว็บนี้ใช้ Akismet เพื่อลดสแปม. เรียนรู้ว่าข้อมูลแสดงความเห็นของคุณถูกประมวลผลอย่างไร.

สมัครเป็นสมาชิก

Enter your email below to receive updates.