การเดินทางครั้งนี้คือการเดินทางโดยรถยนต์ข้ามผ่านเส้นทางที่สำคัญที่สุดสองสายของลาดักค์—เส้นทาง มะนาลี-เลห์ และ ศรีนาการ์-เลห์ ขามาเราเดินทางผ่านมะนาลีแล้ว ขากลับเราจึงเลือกไปยังศรีนาการ์ ซึ่งเป็นโอกาสให้เราได้สัมผัสบรรยากาศของแคชเมียร์อีกครั้ง
ค่ำคืนที่คาร์กิล และการเดินทางที่ไม่ง่ายเลย
เราเช่ารถจี๊ปได้ในราคา 7,500 รูปี สำหรับสองวันหนึ่งคืน ซึ่งถือว่าถูกมากจนแม้แต่คนขับในศรีนาการ์ยังตกใจ ทว่าความโชคดีเรื่องราคากลับมาพร้อมกับความโชคร้ายของคนขับรถที่ไม่เป็นมืออาชีพเอาเสียเลย—รถสกปรก ขับรถไปสูบบุหรี่ไป และไม่ค่อยยอมจอดให้เราถ่ายรูป
เส้นทางจากเลห์สู่ศรีนาการ์พาเราผ่านสนามบินเลห์ ค่ายทหาร และจุดที่สูงสุดของเส้นทางนี้ Fotu La ซึ่งสูงถึง 13,748 ฟุต ก่อนที่เราจะแวะพักที่เมือง คาร์กิล เมืองใหญ่เป็นอันดับสองของลาดักค์ และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เพราะเคยเป็นสมรภูมิในสงครามแคชเมียร์ระหว่างอินเดียกับปากีสถานเมื่อปี 1999
คาร์กิลเป็นเมืองของชาวมุสลิมที่ให้ความสำคัญกับการเมืองอย่างมาก เพียงแค่นั่งพักที่ตลาดก็มีคนมาถามเกี่ยวกับระบบการปกครองของไทยว่าปกครองแบบประชาธิปไตยจริงหรือไม่ โชคดีที่เราพักเพียงคืนเดียว ในโรงแรมราคาย่อมเยาซึ่งห้องพักไม่ได้ดีนัก แต่พวกเรามีถุงนอนช่วยให้ผ่านคืนไปได้สบายขึ้น
เส้นทางสู่วัดลามะยูรู และ Moon Land
เช้าวันรุ่งขึ้นเราเดินทางต่อ แวะชม วัดลามะยูรู ซึ่งเป็นวัดทิเบตที่สำคัญในเส้นทางนี้ ตัววัดตั้งอยู่ท่ามกลางภูมิประเทศที่เรียกว่า Moon Land ซึ่งมีพื้นผิวเป็นตะกอนโคลนเลนจากอดีตเมื่อหลายล้านปีก่อนเมื่อพื้นที่นี้เคยอยู่ใต้ทะเล โครงสร้างของดินที่เหลืออยู่ทำให้มันดูเหมือนพื้นผิวของดวงจันทร์
คนขับรถพาเราไปส่งด้านหลังวัดแล้วให้เราเดินขึ้นเอง แม้จะเป็นการออกแรงเล็กน้อย แต่ก็เปิดโอกาสให้เราได้สัมผัสกับชุมชนโดยรอบ ได้ถ่ายภาพเด็ก ๆ ที่รีบวิ่งเข้ามาหากล้องของเราอย่างตื่นเต้น ทว่าเมื่อฉันหยิบกล้องขึ้นมา กลับพบว่าแบตหมดซะอย่างนั้น!
สัมผัสแรกของแคชเมียร์ และยางแตกกลางทาง
หลังจากออกจากคาร์กิล เราเดินทางผ่านเมือง Drass ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองที่หนาวที่สุดในอินเดีย ทิวทัศน์เริ่มเปลี่ยนไปจากภูเขาแห้งแล้งสู่ทุ่งหญ้าและป่าสนสีเขียว เป็นสัญญาณว่าเราเข้าสู่เขตแคชเมียร์แล้ว
หนึ่งในจุดชมวิวที่งดงามที่สุดคือ Zoji La ที่นำเราเข้าสู่เมือง Sonamarg แต่คราวนี้เราไม่ได้มีโอกาสแวะเท่าคราวก่อน เพราะคนขับรีบพาเราลงเขา กระทั่ง… ยางรถแตก!
ถือว่าโชคดีที่ยางไม่แตกระหว่างที่เรากำลังลงจากภูเขาสูงชัน ไม่อย่างนั้นคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ ๆ
ถึงศรีนาการ์ และการต่อรองราคากับอาเหม็ด
เมื่อถึงศรีนาการ์ เราตรงไปยัง ทะเลสาบดาล จุดหมายของเราคือการพักบน houseboat หรือบ้านเรือ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ เจ้าของบ้านเรือชื่อ อาเหม็ด ต้อนรับเราอย่างมีชั้นเชิง เขาพาเราไปดูเรือลำใหญ่ที่สวยงามก่อน แต่ไม่ยอมบอกราคา จากนั้นก็พาไปดูเรือลำเล็กที่สภาพไม่ดีนัก พอเราถามราคาก็ยังไม่ยอมบอก อาเหม็ดให้เรานั่งดื่มชาก่อน แล้วค่อยว่ากันเรื่องราคา
สุดท้าย เขาเสนอราคาบนเรือลำใหญ่ที่ 1,000 รูปีต่อคืน และเรือลำเล็กที่ 70 รูปีต่อคน เราเลือกเรือลำเล็กเพราะราคาถูกกว่า แต่เขาก็พยายามกล่อมให้เราเปลี่ยนใจ สุดท้ายฉันต่อรองราคาลงมาได้ที่ 800 รูปีสำหรับเรือลำใหญ่ และกล่อมเพื่อน ๆ ให้เลือกเรือลำใหญ่ด้วย
เราใช้เวลาต่อรองกันอยู่นานจนสุดท้ายก็ตกลงได้—อาเหม็ดชนะ แต่เราก็ได้ที่พักดีขึ้น คืนนั้นพวกเรานอนรวมกันห้าคนบนบ้านเรือหลังใหญ่ ไม่ใช่ในฐานะรานีแห่งแคชเมียร์ แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้เป็นชาวบ้านที่ต้องนอนบนเรือลำเล็กที่ห้องน้ำโกโรโกโสแน่นอน!






Leave a Reply