ชีวิตมักมีเรื่องไม่คาดฝันเสมอ และการเดินทางครั้งนี้ของฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น จากแผนที่วางไว้อย่างดีว่าจะได้ใช้เวลาสำรวจอิตาลีให้เต็มอิ่ม—เริ่มจากฟลอเรนซ์ ต่อด้วยเวนิซ และปิดท้ายที่กรุงโรม—ทุกอย่างกลับพลิกผันเมื่อฉันได้รับข่าวจากทางบ้าน ทำให้ต้องรีบจัดการเลื่อนตั๋วเดินทาง และเร่งกลับเร็วกว่ากำหนด เหลือเวลาเพียงแค่หนึ่งวันที่ฟลอเรนซ์ เมืองแห่งศิลปะและประวัติศาสตร์ที่เคยฝันไว้ว่าจะได้ใช้เวลาสัมผัสมันอย่างเต็มที่
แม้จะมีเพียงหนึ่งวัน แต่ฉันก็ตั้งใจว่าจะเก็บเกี่ยวทุกช่วงเวลาที่มีให้คุ้มค่าที่สุด
ฟลอเรนซ์: เมืองที่เดินไปไหนก็เหมือนเดินอยู่ในประวัติศาสตร์
เช้านี้ฉันและเพื่อนเริ่มต้นวันด้วยการเดินลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยของเมืองฟลอเรนซ์ เส้นทางที่เราเดินยังคงความเป็นเมืองเก่าไว้อย่างชัดเจน ทางเดินปูด้วยหินแบบโบราณ บ้านเรือนสีเอิร์ธโทนมีระเบียงที่ประดับด้วยกระถางดอกไม้ ลมเย็นพัดผ่านทำให้รู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในอีกยุคหนึ่ง ฟลอเรนซ์ไม่ได้เป็นเพียงเมืองท่องเที่ยว แต่มันคือหัวใจของยุคเรอเนซองส์ (Renaissance) ยุคแห่งการตื่นรู้ทางศิลปะและวิทยาการในยุโรป ซึ่งมีบุคคลสำคัญอย่างลีโอนาร์โด ดา วินชี และมีเกลันเจโลเคยอาศัยและสร้างสรรค์ผลงานที่ยิ่งใหญ่ไว้ที่นี่
ระหว่างทางเราแวะตลาดสด Mercato Centrale ตลาดที่รวมของสดจากฟาร์ม ทั้งผัก เนื้อสัตว์ ชีส ไวน์ และขนมปังอบใหม่ ร้านค้าทุกแห่งสะอาดสะอ้าน ดูแตกต่างจากตลาดสดที่คุ้นเคยในเมืองไทย แถมส่วนใหญ่ยังรับบัตรเครดิตอีกด้วย—สะท้อนให้เห็นว่าที่นี่แม้จะเป็นเมืองเก่า แต่ก็มีความทันสมัยแฝงอยู่ทุกอณู
หลังจากละสายตาจากแผงอาหารที่เรียงรายจนตาลาย เพื่อนของฉันก็ดึงแขนฉันไปตามเส้นทางที่มุ่งหน้าไปสู่จุดหมายสำคัญของเราในวันนี้—มหาวิหารซานตามาเรีย เดล ฟิโอเร หรือที่คนรู้จักกันในชื่อ “ดูโอโมแห่งฟลอเรนซ์” (Duomo di Firenze)
ดูโอโม: สัญลักษณ์ของฟลอเรนซ์และความอัศจรรย์แห่งสถาปัตยกรรม
เมื่อเดินผ่านซอกตึกมา จู่ๆ โดมอันใหญ่โตและงดงามของมหาวิหารก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ฉันเผลอหยุดยืนมองมันอย่างตื่นตะลึง โบสถ์แห่งนี้ไม่ได้มีเพียงความยิ่งใหญ่ทางกายภาพ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของจิตวิญญาณแห่งยุคเรอเนซองส์
ตัวมหาวิหารสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 และใช้เวลากว่า 140 ปีในการสร้างให้เสร็จสมบูรณ์ มีลวดลายหินอ่อนสีขาว เขียว และชมพู ที่ตัดกันอย่างวิจิตร หอระฆังที่อยู่เคียงข้างกันออกแบบโดยจอตโต (Giotto) ศิลปินเอกแห่งยุคนั้น ทุกอย่างเต็มไปด้วยรายละเอียดที่งดงามจนยากจะละสายตา
เมื่อเดินเข้าไปด้านใน ฉันสัมผัสได้ถึงความสงบ แม้ว่าจะมีนักท่องเที่ยวอยู่มากมาย แต่ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์และเงียบสงบกลับแผ่ซ่านไปทั่ว ที่นี่เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยงานศิลป์และเรื่องราวทางศาสนา โดยเฉพาะโดมขนาดมหึมาที่เพดาน ประดับด้วยภาพเขียนเฟรสโก (Fresco) อันงดงามที่แสดงให้เห็นถึงภาพของนรกและสวรรค์
463 ขั้นสู่จุดสูงสุดของฟลอเรนซ์
ฉันตัดสินใจปีนขึ้นไปชมวิวบนยอดโดม แม้จะต้องเสียค่าเข้า 8 ยูโร และต้องไต่ขึ้นบันไดวนแคบๆ ถึง 463 ขั้น แต่ฉันรู้ว่ามันจะคุ้มค่า
ระหว่างทางขึ้น ฉันได้เห็นภาพเขียนเฟรสโกบนโดมในระยะใกล้ ทุกจุดเต็มไปด้วยรายละเอียดที่น่าทึ่ง นักศิลปะในยุคนั้นสามารถถ่ายทอดมิติของภาพให้ดูมีชีวิตราวกับคนกำลังปีนขึ้นจากกำแพงจริงๆ
เมื่อถึงยอด ฉันถูกต้อนรับด้วยสายลมเย็นที่พัดผ่าน พร้อมกับวิวของฟลอเรนซ์ที่ทอดตัวอยู่เบื้องล่าง ทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยหลังคาสีส้ม ตึกเก่าสวยงาม และแม่น้ำอาร์โนที่ไหลผ่านใจกลางเมือง ฉันเผลอยืนมองอยู่นาน สูดอากาศเข้าเต็มปอด และปล่อยความคิดให้ล่องลอย
ที่นี่ ฉันใช้เวลานั่งเงียบๆ คิดถึงข่าวร้ายที่ฉันได้รับในวันนี้ ฉันภาวนาให้ป้าของฉันไปสู่สุคติ หวังว่าจิตวิญญาณของเธอจะได้รับความสงบ เช่นเดียวกับที่ฉันรู้สึกในขณะนี้
ปิดท้ายวันด้วยไอศกรีมเจลาโตและบทเรียนแห่งการเดินทาง
หลังจากลงจากยอดโดม ฉันและเพื่อนแวะดับกระหายด้วย เจลาโต ไอศกรีมที่ขึ้นชื่อของอิตาลี รสชาติอร่อยดี แต่สำหรับฉันมันก็ไม่ได้ต่างจากไอศกรีมที่หากินได้ทั่วไปในเมืองไทยเท่าไรนัก อย่างไรก็ตาม ฉันพบว่าในอิตาลี ร้านอาหารและคาเฟ่จะคิดราคาต่างกันระหว่างการนั่งกินในร้านกับซื้อกลับบ้าน การนั่งกินที่ร้านอาจแพงขึ้นเกือบเท่าตัว—ค่าที่นั่งที่นี่ไม่ใช่แค่ที่ว่างสำหรับพักเท้า แต่เป็นราคาของการได้ดื่มด่ำบรรยากาศรอบตัว
แม้เวลาของฉันในฟลอเรนซ์จะสั้นเกินไป แต่ก็เป็นเวลาที่เต็มไปด้วยความทรงจำ ฉันได้สัมผัสเสน่ห์ของเมืองแห่งศิลปะ และได้เรียนรู้ว่าในการเดินทาง เราไม่สามารถคาดการณ์ทุกอย่างได้เสมอไป บางครั้งแผนที่วางไว้อาจเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แต่สิ่งที่เราทำได้คือซึมซับช่วงเวลาที่มีอยู่ให้มากที่สุด
เวนิซและโรม คงต้องรอฉันในทริปหน้า—และฉันสัญญาว่าจะกลับมาแน่นอน






Leave a Reply