Nim Journey

A Legend of Travel

กุ้ยหลิน…สวรรค์บนดินที่ต้องไปสัมผัสสักครั้ง (2008)
Posted in , ,

เสียงล้อเครื่องบินสัมผัสรันเวย์เบาๆ เมื่อเรามาถึงสนามบินกุ้ยหลินยามค่ำคืน เมืองแห่งขุนเขาและสายน้ำที่เลื่องชื่อในความงามราวกับภาพวาด เรา 4 คนก้าวลงจากเครื่องด้วยความตื่นเต้น ทริปนี้เป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ และการผจญภัยในรูปแบบต่างๆ ทั้งนั่งเรือ ขี่จักรยาน และเดินเท้าผ่านทิวทัศน์งดงามที่ไม่มีวันลืม เสียงหัวเราะและบทสนทนาเบาๆ ระหว่างเราเป็นสัญญาณแห่งความสุขที่กำลังจะเกิดขึ้น

กุ้ยหลิน…เมืองแห่งภูเขาและสายน้ำ

กุ้ยหลิน เมืองท่องเที่ยวสำคัญในมณฑลกว่างซี ได้รับสมญานามว่า “สวรรค์บนดิน” จิตรกรหลายคนยกย่องว่าหากไม่เคยมาเยือนที่นี่ ก็ไม่อาจวาดภาพภูเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทริปนี้เราโชคดีได้ตั๋วฟรีจาก KTC เสียเพียงค่าภาษีและประกันอีกเล็กน้อย และหลังจากผ่านขั้นตอนการขอวีซ่าที่ค่อนข้างยุ่งยาก เราก็มาถึงกุ้ยหลินในที่สุด

ที่พักของเราคืนแรกอยู่ที่ Backstreet Youth Hostel ตั้งอยู่ใจกลางเมืองในราคาเป็นมิตร เตียงละ 40 หยวนสำหรับห้องรวม และห้องสามคนเพียง 160 หยวน หลังจากเช็คอินและเก็บสัมภาระเรียบร้อย เราก็ออกไปเดินเล่นย่านถนนคนเดินใกล้ๆ ที่เต็มไปด้วยร้านค้า เสื้อผ้า อาหาร และแผงขายของที่เรียงรายใต้เต็นท์สีแดง ท่ามกลางบรรยากาศคึกคักแต่ไม่วุ่นวายเกินไป เสียงเพลงท้องถิ่นที่ลอยมาเบาๆ ผสมกับเสียงพูดคุยของผู้คนทำให้บรรยากาศยามค่ำคืนมีเสน่ห์เฉพาะตัว เราเดินผ่านร้านขายของที่ระลึกและลองชิมขนมพื้นเมืองที่วางเรียงรายบนถนน ความหวานละมุนของขนมถั่วแดงและกลิ่นหอมของขนมอบทำให้เราอดใจไม่ไหวต้องซื้อกลับไปที่พัก

เจดีย์สุริยันจันทรา…สัญลักษณ์แห่งกุ้ยหลิน

จุดหมายแรกของเราคือ เจดีย์สุริยันจันทรา (Sun and Moon Twin Pagodas) ที่ตั้งตระหง่านกลางทะเลสาบในยามค่ำคืน แสงไฟสีทองและสีเงินที่ส่องสว่างทำให้ทั้งสองเจดีย์โดดเด่น เจดีย์สุริยันสูง 9 ชั้นทำจากทองแดงหนักถึง 350 ตัน ส่วนเจดีย์จันทราสูง 7 ชั้น ทั้งสองมีทางเดินใต้น้ำเชื่อมต่อถึงกัน นี่คือภาพที่สวยงามและตรึงใจตั้งแต่คืนแรกที่มาถึง เราใช้เวลาถ่ายรูปและนั่งชมวิวที่นี่นานกว่าที่คิด เสียงน้ำเบาๆ ที่ไหลผ่านและลมเย็นยามค่ำคืนทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก เราเดินเล่นรอบทะเลสาบอีกสักพัก ชมสะพานที่ประดับไฟระยิบระยับและถ่ายภาพกับเพื่อนๆ ท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติก

บะหมี่กุ้ยหลิน…รสชาติบ้านๆ แต่มีเอกลักษณ์

ระหว่างเดินเล่น เราแวะชิม บะหมี่กุ้ยหลิน เส้นกลมสีขาวเหนียวนุ่ม เสิร์ฟพร้อมฟองเต้าหู้และน้ำซุปที่สามารถตักเองได้ตามใจชอบ คนท้องถิ่นนิยมกินบะหมี่แห้งแล้วซดน้ำซุปตามทีหลัง รสชาติเรียบง่ายแต่ลงตัว ทำให้เราเริ่มสัมผัสวัฒนธรรมอาหารท้องถิ่นที่นี่ กลิ่นหอมของน้ำซุปผสมกับรสเผ็ดเล็กๆ จากพริกคั่วที่โรยหน้าทำให้มื้อนั้นกลายเป็นอีกหนึ่งความทรงจำอันแสนอบอุ่น เราพูดคุยกับเจ้าของร้านเล็กน้อยและเขาเล่าให้ฟังถึงวิธีการทำเส้นบะหมี่แบบดั้งเดิม ซึ่งใช้แป้งข้าวเจ้าคุณภาพดีและผ่านกระบวนการนวดอย่างพิถีพิถัน

sds

Longsheng…นาขั้นบันไดแห่งหุบเขามังกร

เช้าวันถัดมา เสี่ยวหลง แท็กซี่ที่มาส่งเราเมื่อคืน มารับเราไปเที่ยว Longsheng ทำให้ตัดปัญหาเรื่องการเดินทางไปได้เยอะ ซึ่งก็น่าจะสะดวกสำหรับหลายคนถึงแม้พูดภาษาจีนไม่ได้ เพียงแค่ชี้จุดที่เราจะไปแล้วตกลงราคากันก็ได้ และราคาไม่แพงมาก อย่างของพวกเราไป Longsheng เค้าคิดทั้งวัน 300 หยวน

เรามุ่งหน้าไป Longsheng หรือ หุบเขามังกร เพื่อชมความงดงามของนาขั้นบันไดที่เลื่องชื่อ การเดินทางใช้เวลาราว 2 ชั่วโมง พร้อมค่าเข้าชม 50 หยวน ระหว่างทางเราเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปจากเมืองสู่ชนบท ผ่านทุ่งนาและหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีบ้านไม้เก่าแก่ริมทาง เสียงพูดคุยของชาวบ้านและกลิ่นหอมของดอกไม้ป่าเป็นเพื่อนร่วมทางที่ทำให้การเดินทางไม่น่าเบื่อ

เมื่อมาถึง เรารู้สึกทึ่งกับนาขั้นบันไดที่เรียงรายลดหลั่นไปตามไหล่เขาเป็นภาพที่งดงามราวกับภาพวาด จุดชมวิวสองแห่งคือ Nine Dragons and Five Tigers และ Seven Stars with Moon เราเลือกเดินไปจุดที่สอง ซึ่งต้องใช้แรงกายพอสมควร แต่ทุกก้าวที่เดินขึ้นไปกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ระหว่างทางเราเจอคุณป้าที่กำลังหาบตะกร้าใบไม้ขึ้นเขา เธอยิ้มทักทายและเชิญชวนให้ลองถือหาบดูบ้าง เราลองยกขึ้นและพบว่ามันหนักกว่าที่คิด แต่เป็นประสบการณ์ที่ทำให้เรายิ้มได้

วิวทิวทัศน์ระหว่างทางสวยงามจับใจ สายหมอกบางๆ ลอยคลอเคลียยอดเขา สะท้อนกับน้ำในนาข้าวที่กำลังงอกงาม เสียงนกร้องและกลิ่นหอมอ่อนๆ จากต้นไม้ทำให้การเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยความสงบ เราถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนานและนั่งพักใต้ศาลาไม้เล็กๆ เพื่อชมวิว พร้อมจิบชาสมุนไพรที่ซื้อจากร้านค้าริมทาง รสชาติของชาช่วยให้เราผ่อนคลายและเติมพลังสำหรับการเดินทางต่อ

ระหว่างทางเรายังได้สัมผัสวัฒนธรรมชนเผ่าจ้วง ผู้หญิงที่นี่นิยมไว้ผมยาวจนมีการแสดงโชว์สระผมให้ชม แม้เราจะไม่ได้เข้าร่วม แต่เพียงการได้เห็นพวกเธอสวมชุดพื้นเมืองก็ทำให้รู้สึกได้ถึงวัฒนธรรมที่ยังคงสืบทอดกันมา เราแวะที่ร้านเล็กๆ ริมทางเพื่อชิมชาท้องถิ่น กลิ่นหอมของใบชาสดๆ และรสชาติที่หวานนิดๆ ทำให้รู้สึกสดชื่นและมีพลังในการเดินทางต่อ

ก่อนออกจากหมู่บ้าน เราได้มีโอกาสลองสวมชุดพื้นเมืองของชนเผ่าจ้วงและถ่ายรูปกับทิวทัศน์นาข้าวที่ทอดยาวไปจนสุดสายตา ประสบการณ์นี้ทำให้เราได้รู้สึกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับสถานที่แห่งนี้ ความเรียบง่ายและความอบอุ่นของผู้คนใน Longsheng ทำให้เราประทับใจและจดจำไปอีกนาน

sds

ล่องเรือแม่น้ำหลี่…เส้นทางแห่งความงามเหนือจินตนาการ

หนึ่งในไฮไลท์ของทริปคือการล่องเรือใน แม่น้ำหลี่ (Li River) เส้นทางจากกุ้ยหลินสู่หยางซั่ว เป็นช่วงที่ได้รับการยกย่องว่าสวยที่สุด เราจองตั๋วเรือราคาคนละ 245 หยวน พร้อมอาหารกลางวันแบบจีน แม้วันนั้นท้องฟ้าจะไม่สดใส มีฝนตกปรอยๆ แต่กลับเพิ่มความโรแมนติกให้กับทิวทัศน์สองฝั่งแม่น้ำ บรรยากาศเย็นสบาย ลมพัดเอื่อยๆ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายตลอดการเดินทาง

ช่วงแรกของการล่องเรือ เรารู้สึกตื่นเต้นมาก เสียงเครื่องยนต์เบาๆ ผสานกับเสียงน้ำกระทบตัวเรือ ทำให้บรรยากาศดูเงียบสงบ เราต่างหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะเมื่อเรือแล่นผ่านภูเขาหินปูนรูปทรงแปลกตา แต่ละลูกมีชื่อเรียกตามจินตนาการของผู้คน เช่น เขาเจ้าแม่กวนอิม หรือ เขาเก้าม้า เราหาเรื่องเล่นสนุกว่าใครจะมองเห็นรูปม้าครบทั้งเก้าก่อน บางคนมองเห็นครบ แต่บางคนก็ต้องใช้จินตนาการสุดๆ เพื่อมองเห็นภาพเหล่านั้น

ตลอดทาง เราเห็นชาวประมงที่ยังคงใช้วิธีดั้งเดิมในการหาปลา บนแพไม้ไผ่ขนาดเล็กที่ลอยละล่องไปตามแม่น้ำหลี่ ชาวประมงเหล่านี้ใช้วิถีชีวิตดั้งเดิมในการหาปลา วิถีชีวิตริมน้ำ เรือท่องเที่ยวแล่นไปในสายน้ำ ท่ามกลางทิวเขาสูงในม่านหมอก เราพยายามถ่ายรูปเพื่อเก็บความสวยงามแม้จะมีฝนปรอยลงมาเกือบตลอดทางที่เรานั่งเรือ ภาพแพไม้ไผ่ขนาดเล็กที่ลอยไปตามสายน้ำสะท้อนเงาเขาและเมฆบนฟ้า ท่ามกลางความเงียบสงบของธรรมชาติ ทำให้เรารู้สึกเหมือนถูกกลืนเข้าไปในความเรียบง่ายและความยิ่งใหญ่ของสายน้ำและภูเขาที่อยู่ตรงหน้า เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เราเงียบสงบลงและซึมซับความงดงามรอบตัวอย่างแท้จริง

อาหารกลางวันที่เสิร์ฟบนเรือเป็นอาหารจีนแบบง่ายๆ แต่รสชาติกลับอร่อยเกินคาด เรานั่งล้อมวงกันทานอาหาร พร้อมพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน การได้ทานอาหารท่ามกลางวิวสวยๆ และเสียงน้ำไหลเป็นประสบการณ์ที่ประทับใจมาก

แม้ท้องฟ้าจะไม่สดใส แต่สายหมอกบางๆ ที่คลอเคลียยอดเขาเพิ่มความขลังให้กับทิวทัศน์ ทำให้เรารู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในภาพวาดแบบจีนโบราณ การล่องเรือครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการชมธรรมชาติ แต่ยังเป็นการได้สัมผัสความสงบและความงดงามของวิถีชีวิตริมแม่น้ำหลี่อย่างแท้จริง

หยางซั่ว…เมืองเล็กที่เต็มไปด้วยเสน่ห์

เมื่อมาถึง หยางซั่ว เราได้พบกับ สวีเจี่ย หญิงสาวท้องถิ่นที่เสนอตัวเป็นไกด์พิเศษให้ เธอพาเราเช่าจักรยานแล้วพาไปปั่นชมรอบเมือง เส้นทางที่เต็มไปด้วยทุ่งนา ภูเขาหินปูน และแม่น้ำ Yulong เป็นฉากหลังที่สวยงามราวกับโปสการ์ด

เราแวะที่ Moon Hill และ Big Banyan Tree แม้ไม่ได้เข้าชมด้านในเพราะค่าเข้าแพง แต่เพียงการได้ปั่นจักรยานผ่านก็เพียงพอที่จะซึมซับบรรยากาศธรรมชาติ สวีเจี่ยพาเราขี่จักรยานลัดเลาะไปตามทางที่คดเคี้ยว ผ่านทิวเขาหินปูนที่สูงตระหง่านท่ามกลางทุ่งนาเขียวขจี ระหว่างทางเราได้พบกับชาวบ้านท้องถิ่นที่เชื้อเชิญเราเข้าไปในบ้านหลังเล็กๆ ที่สร้างด้วยไม้ไผ่ คุณลุงและคุณป้าเจ้าของบ้านต้อนรับเราอย่างอบอุ่น พวกเขาเล่าเรื่องราวชีวิต ความเป็นอยู่ และยังร้องเพลงท้องถิ่นเกี่ยวกับการทำนาให้เราฟัง เสียงเพลงผสานกับบรรยากาศเงียบสงบของทุ่งนาทำให้เราได้สัมผัสหัวใจของกุ้ยหลินอย่างแท้จริง

คุณลุงยังโชว์ความแข็งแรงด้วยการยกหินหนักกว่า 40 กิโลกรัมขึ้นด้วยมือเดียว สร้างความตื่นเต้นและเสียงหัวเราะให้กับพวกเรา เราได้ลองยกตาม แต่แน่นอนว่าทำไม่ได้

เรากลับมาคืนจักรยานประมาณ 4 โมงเย็น พวกเราร่ำลาสวีเจีย ตามปกติเธอจะทำไร่ทำนาปลูกผักอยู่บ้าน แต่พอช่วงว่างก็จะออกมาคอยหานักท่องเที่ยวเสนอจัดหาโรงแรม พาทัวร์ พาไปร้านอาหาร ซึ่งเค้าคงจะได้เปอเซ็นต์เล็กๆ น้อยๆ

พวกเรานั่งรถบัสจากหยางซั่ว กลับมากุ้ยหลินตอน 6 โมงเย็น รถบัสมีตลอดเวลาออกเกือบทุก 10 นาที ใช้เวลาเดินทางประมาณ ชั่วโมงกว่า ก็ถึงกุ้ยหลิน พอมาถึงก็พบเสี่ยวหลงมารอรับพวกเรา คืนนี้พวกเรากลับไปพักที่ Backstreet Youth Hostel เหมือนคืนแรก เพราะสะดวกและอยู่ย่านใจกลางเมือง คืนนี้เป็นวันเสาร์คึกคักมากกว่าคืนแรกที่เรามาถึง เราฝากท้องกันที่ร้าน KFC หรือภาษาจีนเรียกว่าเขิ่นเต๋อจี ได้ลองแฮมกุ้งตามที่เห็นในโฆษณาทางโทรทัศน์ เวลาไปต่างเมืองเราชอบลอง KFC หรือ Mc Donald เพราะเมนูและรสชาติแต่ละประเทศจะไม่เหมือนกัน

sds

กุ้ยหลิน…เมืองแห่งความทรงจำ

เราเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยการไปเยือน วังอ๋อง Chengyun Palace สถานที่ประวัติศาสตร์สำคัญของเมืองกุ้ยหลิน วังแห่งนี้เคยเป็นที่พำนักของอ๋องผู้ทรงอำนาจ เมื่อซื้อตั๋วเข้าชม จะมีไกด์ชาวจีนพาเราเดินชมภายใน แม้คำบรรยายจะมีทั้งที่ฟังเข้าใจและไม่เข้าใจ แต่บรรยากาศและการจัดแสดงที่มีนักแสดงสวมบทบาทตามจุดต่างๆ ทำให้การเที่ยวชมเต็มไปด้วยสีสันและความสนุกสนาน หนึ่งในไฮไลท์คือการจำลองการสอบจอหงวน ผู้เข้าชมสามารถเข้าร่วมทดสอบความรู้และลุ้นผลว่าใครจะได้เป็นจอหงวน สร้างเสียงหัวเราะและความเพลิดเพลินตลอดการชม

ภายในวังยังมีสวนที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ถ้ำที่มีการประดับไฟ และจุดชมวิวบนเนินเขาที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์เมืองกุ้ยหลินได้โดยรอบ เราใช้เวลาถ่ายรูปและเดินเล่นท่ามกลางบรรยากาศสงบ ก่อนจะออกไปยังทะเลสาบใกล้ๆ

ช่วงบ่าย เราได้นั่งเรือชมวิวทะเลสาบ ซึ่งบังเอิญตรงกับเวลาที่มีการแข่งขันเรือ หรืออาจจะเป็นการซ้อมก็ไม่แน่ใจ วิวรอบๆ เต็มไปด้วยภูเขาหินปูนที่มีชื่อเรียกตามรูปร่าง เช่น เขางวงช้าง และ เขาอูฐ แม้เราจะจำชื่อทั้งหมดไม่ได้ แต่ทิวทัศน์ก็งดงามเกินบรรยาย

เรือที่เรานั่งมีค่าโดยสารคนละ 50 หยวน ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง แม้จะรู้สึกว่าแพงไปหน่อยและอากาศร้อนจัดเนื่องจากเป็นช่วงเที่ยง แต่ก็ยังคุ้มค่ากับการได้ชมทิวทัศน์สวยๆ หากมีโอกาส แนะนำให้นั่งเรือช่วงเย็นเพื่อสัมผัสบรรยากาศที่เย็นสบายกว่า หรือหากต้องการประสบการณ์ที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น การนั่งเรือไม้ไผ่ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ

จากนั้นเรามุ่งหน้าไปยัง เมืองโบราณ ที่อยู่นอกเมืองกุ้ยหลิน ใช้เวลาขับรถประมาณครึ่งชั่วโมง เมืองนี้เต็มไปด้วยร้านค้าขายของเก่าหลากหลาย เช่น หนังสือการ์ตูนเก่าๆ ของสะสม และของที่ระลึกมากมาย เราเดินเล่นชมร้านค้าพร้อมซึมซับบรรยากาศย้อนยุคที่เงียบสงบ

ก่อนจะเดินทางกลับ เรายังมีเวลาเหลือเล็กน้อย จึงเดินเล่นในตัวเมืองอีกครั้ง บรรยากาศคึกคักเป็นพิเศษเพราะเป็นวันอาทิตย์ เราแวะเข้าห้องน้ำที่ โรงแรม Waterfall หลังจากอ่านรีวิวจากพันทิปว่าที่นี่สะอาดมาก และก็เป็นจริงตามคำล่ำลือ นับว่าเป็นอีกหนึ่งจุดที่เราแวะพักผ่อนก่อนจบทริปวันนั้นด้วยความประทับใจ

Leave a Reply

เว็บนี้ใช้ Akismet เพื่อลดสแปม. เรียนรู้ว่าข้อมูลแสดงความเห็นของคุณถูกประมวลผลอย่างไร.

สมัครเป็นสมาชิก

Enter your email below to receive updates.