เมื่อออกจากสถานีรถไฟใต้ดิน Tian An Men Xi แล้วเดินขึ้นมาสู่พื้นดิน สิ่งแรกที่สะดุดตาคือ National Grand Theater หรือโรงละครแห่งชาติของปักกิ่ง ตึกทรงครึ่งวงกลมที่ล้ำสมัยตั้งอยู่เด่นเป็นสง่า สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของเมืองหลวงแห่งนี้จากอดีตสู่ปัจจุบัน ไม่ใช่เพียงแค่ตึกแห่งนี้เท่านั้น แต่ตลอดการเดินทางในปักกิ่ง เราพบอาคารที่ออกแบบแปลกตาและทันสมัยแทบทุกจุด ทำให้เห็นว่าเมืองหลวงของจีนกำลังก้าวสู่อนาคตอย่างมั่นคง ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษารากเหง้าทางประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ไว้ได้อย่างแนบแน่น
Forbidden City – ศูนย์กลางอำนาจแห่งอาณาจักรจีน
วันนี้เราแพลนไว้เพียงที่เดียว นั่นคือ พระราชวังต้องห้าม (Forbidden City หรือ กู้กง 故宫) พระราชวังที่เคยเป็นศูนย์กลางอำนาจของจีนมานานกว่า 500 ปี ด้วยพื้นที่กว้างใหญ่กว่า 1 ล้านตารางเมตร ภายในประกอบด้วยอาคารกว่า 800 หลัง และห้องพักมากถึง 9,000 ห้อง สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับของจักรพรรดิและศูนย์กลางการปกครองของแผ่นดินจีน
พระราชวังแห่งนี้มีประวัติอันยาวนาน ย้อนกลับไปถึงสมัยราชวงศ์หยวน (ค.ศ. 1271–1368) เมื่อกุบไลข่าน (Kublai Khan) ผู้ก่อตั้งราชวงศ์มองโกล ตัดสินใจตั้งเมืองหลวงที่ปักกิ่ง และสร้างพระราชวังหลวงขึ้น ต่อมาในสมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1368–1644) จักรพรรดิหยงเล่อ (Yongle Emperor) ทรงมีพระราชดำริให้ขยายและออกแบบพระราชวังใหม่ระหว่างปี ค.ศ. 1406–1420 โดยใช้แรงงานกว่าล้านคน พระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นจากอิฐจำนวนมหาศาลถึง 12 ล้านก้อน และได้รับการออกแบบให้เป็นศูนย์กลางจักรวาลตามแนวคิดลัทธิขงจื๊อและหลักฮวงจุ้ย
ศิลปะ สถาปัตยกรรม และการปกครอง
พระราชวังต้องห้ามถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ได้แก่
- เขตด้านหน้า หรือ Outer Court ใช้สำหรับงานพิธีการและการว่าราชการ
- เขตด้านใน หรือ Inner Court เป็นที่ประทับของจักรพรรดิ เหล่าสนม และข้าราชบริพารชั้นสูง
อาคารแต่ละหลังตกแต่งอย่างประณีตด้วยหลังคากระเบื้องเคลือบสีเหลือง สัญลักษณ์แห่งอำนาจจักรพรรดิ เสาและคานไม้แกะสลักลวดลายงดงาม ทาสีแดงสดตามความเชื่อเรื่องโชคลาภ ภายในสวนชั้นในยังมีการจำลองภูมิทัศน์ที่สวยงามเสมือนป่าธรรมชาติ สะท้อนถึงรสนิยมทางศิลปะและปรัชญาแห่งชีวิตของจักรพรรดิในอดีต
เหตุการณ์สำคัญและความเปลี่ยนแปลง
แม้ว่าพระราชวังต้องห้ามจะยืนยงมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ แต่ก็เผชิญกับไฟไหม้ครั้งใหญ่มาหลายครั้ง เนื่องจากโครงสร้างส่วนใหญ่เป็นไม้ นอกจากนี้ยังเคยได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ ไฟจากเทศกาลโคมไฟ และแม้แต่ไฟที่เกิดจากการวางเพลิงโดยขันทีหรือขุนนางที่หวังแสวงหาประโยชน์จากงบซ่อมแซม
อีกเหตุการณ์สำคัญคือช่วงปลายราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1644–1912) เมื่อจีนเข้าสู่ยุคแห่งความเปลี่ยนแปลง หลังจากราชวงศ์ล่มสลาย พระราชวังต้องห้ามถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ (Palace Museum) และสมบัติจำนวนมากถูกโยกย้ายไปยังพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวันในช่วงที่เจียงไคเช็ค (Chiang Kai-shek) ล่าถอยไปตั้งรัฐบาลใหม่ที่ไต้หวัน ทำให้เกิดการแบ่งแยกมรดกทางวัฒนธรรมระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่และไต้หวัน
Jingshan Park – จุดชมวิวเหนือพระราชวังต้องห้าม
เดินทะลุจากด้านหน้าพระราชวังไปยังด้านหลัง เราจะพบกับ Jingshan Park สวนสาธารณะที่เกิดจากการนำดินที่ขุดจากคูเมืองรอบพระราชวังมาก่อเป็นเนินเขา นอกจากเป็นสถานที่พักผ่อนแล้ว ยังมีบทบาทสำคัญในการป้องกันฝุ่นและพายุจากทางตอนเหนือ โดยเฉพาะลมทะเลทรายโกบี
บนยอดเขาของสวนแห่งนี้เป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นพระราชวังต้องห้ามได้แบบพาโนรามา ทิวทัศน์ของหลังคาสีทองที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบตัดกับท้องฟ้าสีครามเป็นภาพที่สวยงามอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ที่จักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์หมิง จักรพรรดิฉงเจิน (Chongzhen Emperor) ใช้เป็นที่หลบหนีจากการบุกของกองทัพกบฏ ก่อนที่จะปลิดชีพตนเองใต้ต้นท้อโบราณ
ตลาดริมถนน และรสชาติของปักกิ่ง
หลังจากเที่ยวชมพระราชวัง เราเดินผ่านตลาดริมถนนใกล้กับ Wang Fu Jing ถนนคนเดินชื่อดังของปักกิ่ง บรรยากาศเต็มไปด้วยร้านค้าและของกินมากมาย หนึ่งในของว่างยอดนิยมที่เห็นขายทั่วเมืองคือ สตรอว์เบอร์รี่ชุบน้ำตาล หวานฉ่ำ เสียบไม้ขายเป็นชิ้น ๆ เราลองชิมแล้วพบว่าหวานมากเกินไปจนไม่ถูกปาก
อีกเมนูที่เราลองคือ หมี่ผัด ซึ่งตอนแรกดูน่ากิน แต่สุดท้ายกลับพบว่าโดนพ่อค้าบวกเพิ่มราคาต่างจากป้าย แถมยังมีรสชาติมันมากจนเลี่ยน ทำให้เราหงุดหงิดขึ้นมาแบบไม่คาดคิด
ปักกิ่ง – เมืองเก่าที่กำลังเปลี่ยนแปลง
การเดินทางครั้งนี้ทำให้เราเห็นมิติที่แตกต่างของปักกิ่ง เมืองที่เต็มไปด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ แต่ขณะเดียวกันก็เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงและความทันสมัย ตึกรามบ้านช่องแบบใหม่กำลังผุดขึ้นทุกแห่งหน แต่รากเหง้าทางวัฒนธรรมก็ยังคงถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี ปักกิ่งไม่ใช่แค่เมืองโบราณอีกต่อไป แต่เป็นมหานครที่ผสมผสานอดีตและอนาคตไว้ได้อย่างกลมกลืน







Leave a Reply