
เสียงเครื่องบินประกาศเตรียมลงจอด ปลุกให้ฉันและน้องสาวเพื่อนร่วมทางจากภวังค์ง่วงงุน เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ตอนเที่ยงคืน และมาถึงสนามบินปักกิ่งในเวลา 6 โมงเช้า สนามบินนานาชาติปักกิ่งทันสมัยและกว้างขวางกว่าที่คิด ทุกอย่างดูเป็นระเบียบ ระบบตรวจคนเข้าเมืองรวดเร็ว ไม่ต้องต่อแถวกันจนล้า
ออกมาข้างนอกอากาศเย็นกว่าที่คิด แม้จะเป็นช่วงเช้า เราตัดสินใจขึ้น shuttle bus เข้าเมืองแทนการใช้แท็กซี่ ค่ารถเพียง 16 หยวนเท่านั้น และมีสายรถที่เชื่อมต่อไปยังจุดต่างๆ อย่างสะดวกสบายโดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่มให้กับพนักงานขับแท็กซี่ที่พยายามเรียกลูกค้าตามประสาสถานที่ท่องเที่ยว
ที่พักของเราคืนนี้อยู่ที่ โรงแรม Harmony ตรงข้ามสถานีรถไฟใหญ่ของปักกิ่ง (Beijing Railway Station) การเดินจากจุดลงรถเข้าโรงแรมไม่ยาก แต่การเดินผ่านดงแท็กซี่และรถลากที่คอยชักชวนให้ใช้บริการเป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องรับมือ เสียงเรียกและการเสนอราคาที่ลดลงเรื่อยๆ จาก 3 หยวนเหลือ 1 หยวนตามระยะทางที่เราห่างออกไป เป็นภาพที่อดขำไม่ได้
ถึงโรงแรมเราก็แทบจะทิ้งตัวลงนอน ไม่ใช่เพราะเดินทางเหนื่อย แต่เพราะความเพลียจากเที่ยวบินดึกที่แทบไม่ได้นอนเต็มอิ่ม หลับไปจนถึงบ่ายกว่าๆ กว่าจะตั้งต้นออกไปเดินเที่ยวและสัมผัสปักกิ่งในวันแรก
ก้าวแรกสู่จตุรัสเทียนอันเหมิน
เราตัดสินใจเดินจากโรงแรมไป จตุรัสเทียนอันเหมิน ระยะทางประมาณ 20-25 นาที อากาศเย็นทำให้การเดินไม่เหนื่อยมากนัก แต่ที่แปลกก็คือ รถลากที่เราปฏิเสธมาตั้งแต่หน้าโรงแรม กลับยังคงตามมาตลอดทาง ลดราคาลงเรื่อยๆ จนแทบจะขอให้เรานั่งฟรี!
เมื่อมาถึง จตุรัสเทียนอันเหมิน ภาพแรกที่เห็นคือ ลานกว้างใหญ่ที่โอบล้อมด้วยอาคารสำคัญ ทั้งทางการและประวัติศาสตร์ ด้านหนึ่งเป็น Front Gate และ Heavenly Gate สถาปัตยกรรมโบราณที่ยืนหยัดมาคู่กับปักกิ่ง ขณะที่อีกด้านหนึ่งเป็นอาคารรัฐบาลที่สะท้อนความทันสมัยของจีนในยุคปัจจุบัน
นี่คือสถานที่ที่เป็นศูนย์กลางของเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของจีนมาตลอดหลายศตวรรษ ตั้งแต่ยุคราชวงศ์หมิง จนถึงยุคคอมมิวนิสต์ และกำลังก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจทุนนิยมที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่างอย่างรวดเร็ว ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างมีเป้าหมายของตัวเอง นักท่องเที่ยวถ่ายรูปกันไม่ขาดสาย ในขณะที่ชาวจีนสูงวัยยังคงใช้จตุรัสแห่งนี้เป็นสถานที่ออกกำลังกายและพูดคุยกัน
เราเดินเล่นไปรอบๆ สัมผัสบรรยากาศของจตุรัส และรอชม พิธีลดธง ซึ่งเป็นหนึ่งในไฮไลต์สำคัญของที่นี่ ทุกเย็นจะมีขบวนทหารเดินสวนสนามมาเพื่อทำพิธีลดธงลงจากเสาที่ตั้งตระหง่านกลางจตุรัส นักท่องเที่ยวทั้งจีนและต่างชาติพากันมาจับจองที่นั่งล่วงหน้า แต่กฎระเบียบของที่นี่ไม่ใช่ว่าจะเข้มงวดเสมอไป เพราะถึงแม้จะมีเจ้าหน้าที่จัดพื้นที่ให้คนยืนเป็นระเบียบ ผู้คนกลับพากันทะลักเข้าไปยังแนวกั้นจนทหารต้องคอยตะโกนเตือนและไล่ให้ถอยออกมา
เราเองตั้งใจจะดูพิธีนี้ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมถอยออกมาเพราะฝูงชนแน่นเกินไป แถมทางออกก็ถูกปิดเพื่อควบคุมการจราจร ทำให้เราต้องรอจนพิธีจบถึงจะเดินออกมาได้
ถนน WangFuJing: ความเก่าและใหม่ที่รวมกันอย่างลงตัว
จากจตุรัสเทียนอันเหมิน เราเดินต่อไปยัง ถนน WangFuJing ซึ่งเป็น ถนนคนเดินที่คึกคักที่สุดในปักกิ่ง ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้า ร้านค้าแบรนด์เนม และตรอกซอกซอยเล็กๆ ที่ยังคงมีร้านอาหารเก่าแก่ซ่อนอยู่
หนึ่งในสิ่งที่ขึ้นชื่อของถนนสายนี้ก็คือ ตลาดของกินแปลกๆ เช่น แมงป่องเสียบไม้ ม้าน้ำปิ้ง ที่ขายกันแบบจริงจัง แม้จะไม่ได้กล้าลองกิน แต่แค่เดินดูบรรยากาศและปฏิกิริยาของนักท่องเที่ยวที่ท้าทายตัวเองก็เพลินแล้ว
ความรู้สึกของปักกิ่งในวันนี้เหมือนอยู่ระหว่างทางแยกของอดีตและอนาคต เมืองที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของจีนโบราณกำลังถูกปกคลุมด้วยกระแสโลกาภิวัตน์ สถาปัตยกรรมเก่าค่อยๆ ถูกแทรกด้วยตึกสูงระฟ้า เทคโนโลยี และระบบเศรษฐกิจใหม่ที่กำลังเปลี่ยนเมืองนี้ให้เป็นมหานครระดับโลก
ปักกิ่งในวันนี้อาจไม่ใช่ปักกิ่งแบบที่จักรพรรดิองค์สุดท้ายเคยรู้จัก แต่ไม่ว่ามันจะเปลี่ยนไปแค่ไหน กลิ่นอายของประวัติศาสตร์ก็ยังคงอยู่ และเราก็เป็นเพียงนักเดินทางที่ผ่านเข้ามาสัมผัสเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของเรื่องราวทั้งหมดเท่านั้น







Leave a Reply