หลังจากเมื่อคืนสนุกสนานกับการเดินเล่นร้านขายของใกล้โรงแรม โดยเฉพาะร้านขายถ้วยชาม เช้านี้เราก็ยังไม่หายคึกคัก บอกให้คนขับรถช่วยมองหาร้านขายถ้วยชามแบบเมื่อคืนให้หน่อย ถ้าเจอให้แวะทันที พี่คนขับและเด็กรถก็ไม่รอช้า ช่วยกันสอดส่ายสายตาอย่างขันแข็ง และเมื่อเจอร้านที่ใช่ก็รีบจอดทันที สร้างความสนุกสนานให้พวกเรายิ่งขึ้นไปอีก
หลายวันผ่านไป พวกเรากับคนขับเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น ถึงขั้นขอโน่นขอนี่กันได้อย่างเป็นกันเอง ยิ่งเมื่อคืนดูเหมือนว่าพี่คนขับกับเด็กรถจะภาคภูมิใจเป็นพิเศษ เพราะพาพวกเราสาวๆ จากแดนสยามเดินชมตลาด ดูท่าทางทั้งสองจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แถมยังมีคนในตลาดแอบเดินตามดูพวกเราด้วยความสนใจ ประหนึ่งพวกเราเป็นดาราก็ไม่ปาน!
เมื่อเจอร้านขายหม้อไหแถวชานเมือง Jodhpur สาวๆ นักช้อปก็เฮโลเข้าไปเลือกซื้อกันอย่างสนุกสนาน บ้างซื้อแก้ว ปิ่นโต บางคนกระทั่งหอบครกกับสากแบบเล็กๆ ติดไม้ติดมือกลับไปด้วย ส่วนเรากับบางคนวันนี้ได้ถ่ายรูปกับเด็กๆ ในละแวกนั้น พวกเขาดูตื่นเต้นกับการพบเจอพวกเรา แอบมองมาอย่างเขินๆ จนเราต้องเรียกเข้ามาถ่ายรูปด้วยกัน จากไม่กี่คนก็กลายเป็นหลายสิบคน บางคนถึงกับไปตามน้องสาวและคุณลุงแถวนั้นมาถ่ายรูปกับพวกเราด้วย ความเป็นมิตรและความสนุกสนานของเด็กๆ ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
วันนี้เรามุ่งหน้าจาก Jodhpur เข้าสู่เขตทะเลทรายมุ่งสู่ Jaisalmer เมืองชายแดนระหว่างอินเดียและปากีสถาน แต่คืนนี้เรายังไม่ได้พักที่ตัวเมือง เพราะเรามีโปรแกรมขี่อูฐและพักค้างคืนในทะเลทราย ก่อนออกเดินทางเราแวะพบไกด์ท้องถิ่นและทานอาหารกลางวันในเมือง แค่เห็นหน้าไกด์ก็ทำเอาสาวๆ ในกรุ๊ปแอบตื่นเต้น หวังว่าพรุ่งนี้เขาจะเป็นคนนำพวกเราเที่ยว Jaisalmer และพาเราไปในที่น่าสนใจ มากกว่าการพาเข้าร้านขายของแบบไกด์บางคนที่เราเคยเจอมา
ค่ำนี้เรามาถึง Sam Sand Dune พื้นที่กว้างใหญ่ของทะเลทรายธาร์ ที่พักของเราอยู่ตรงชายขอบทะเลทราย พอเห็นแล้วก็แอบผิดหวังเล็กๆ เพราะในใจหวังว่าจะได้นอนเต็นท์กลางทะเลทรายจริงๆ ไม่ใช่แค่ริมๆ แบบนี้ แอบฝันว่าจะได้เจอ “ชารีฟ” บรรยากาศก็ไม่เป็นใจเสียแล้ว
อูฐที่เราขี่ตัวหนึ่งนั่งได้สองคน เรากับปุ๊กนั่งด้วยกัน จำได้ว่าอูฐชื่อ “ไซย่า” แต่ดันจำชื่อคนจูงไม่ได้ ช่วงที่อูฐลุกขึ้นและนั่งลงทำเอาเราหวาดเสียวไม่น้อย ขี่ไปก็ตื่นเต้นไปเพราะมันสูง ถ่ายรูปกันลำบาก แต่ก็พยายามผลัดกันถ่ายให้เพื่อน ระหว่างเดินทาง เห็นเด็กๆ ถือถุงขนมและน้ำอัดลมเดินตามพวกเรา พยายามจะขายของ บางคนถึงกับเดินมาขวางกล้องเพื่อให้เราสนใจซื้อขนม จนต้องบอกปัดกันหลายรอบ
บริเวณที่อูฐพามาจอดยังคงอยู่ที่ชายขอบทะเลทราย แม้จะไม่เวิ้งว้างอย่างที่จินตนาการไว้ แต่ก็ให้บรรยากาศทะเลทรายได้พอสมควร ใจหนึ่งหวังว่าจะเห็นคลื่นทรายใหญ่ๆ แบบในหนังหรือเหมือน wallpaper ของ Windows ที่เคยนั่งมองแล้วฝันว่าซักวันจะได้ไปยืนอยู่ตรงนั้น แต่เดินหามุมสวยๆ เท่าไหร่ก็ยังไม่เจอสักที
อย่างไรก็ตาม การได้มาทะเลทรายก็เป็นโอกาสที่ไม่บ่อยนัก เราไม่มัวแต่ถ่ายรูป แต่ใช้เวลานั่งซึมซับบรรยากาศรอบตัว บางคนนั่งเงียบๆ ปล่อยใจไปกับความกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา พระอาทิตย์ตกดินที่นี่ช่างงดงาม ถ้ามากับคนรู้ใจคงเป็นช่วงเวลาที่โรแมนติกไม่น้อย แต่สำหรับเราคงต้องรอชาติหน้าแล้วล่ะ
หลังจากพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า เราก็ขี่อูฐกลับที่พัก ระหว่างทางไม่ลืมทำตามสัญญา ซื้อน้ำอัดลมจากเด็กที่พยายามขายให้เราตั้งแต่แรก ขวดละ 30 รูปี ไม่แพงเลยเมื่อคิดว่าเป็นการสนับสนุนให้พวกเขารู้จักทำมาหากิน ดีกว่ามาขอเงินเฉยๆ
คืนนี้พวกเราทานอาหารเย็นกันที่ที่พัก รอบกองไฟมีการแสดงดนตรีพื้นเมืองให้ชม แต่สำหรับเรา อาหารมื้อนี้ไม่ค่อยถูกปาก โชคดีที่เพื่อนๆ พกมาม่ามาช่วยชีวิตไว้ได้ หลังอาหาร พวกเรานั่งคุยกันพักใหญ่ก่อนจะแยกย้ายเข้านอน ถึงแม้จะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่วัน แต่กลับสนิทกันอย่างรวดเร็ว ต้องยกเครดิตให้กับนิสัยที่คล้ายกันของพวกเราที่ชอบเที่ยว ชอบถ่ายรูป และพูดคุยถูกคอ
คืนนี้เป็นคืนแรกที่เราไม่ได้อาบน้ำ เพราะไม่มีน้ำอุ่นและอากาศเย็นจัด การต้องนอนทั้งๆ ที่เหนียวตัวจากการขี่อูฐมาทั้งวันทำให้หลับไม่ค่อยสบาย แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ยังรู้สึกว่าทริปนี้เป็นทริปที่มีความทรงจำดีๆ และมิตรภาพใหม่ๆ ที่อบอุ่นติดกลับบ้านไปด้วย






Leave a Reply