ตามแผนที่ตกลงกันตั้งแต่เมื่อคืน พวกเราตั้งใจตื่นเช้าเพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเลสาบพุชการ์ เรานัดกับทางโรงแรมให้จัดรถจี๊ปไปส่งตอน 6.45 น. โดยมีการโทรเช็กเวลาพระอาทิตย์ขึ้นล่วงหน้าว่าจะเป็นเวลาประมาณ 7 โมงเช้า แต่เมื่อถึงเวลาจริง กลับกลายเป็นว่าคนที่มาส่งเราคือคุณลุงคนขับรถประจำทริปของเราเอง ท่าทางเหมือนขี้เกียจส่งให้ตรงเวลา เพราะกว่ารถจะออกก็ปาเข้าไป 7 โมงกว่า เรานั่งรอในรถกันนาน คิดว่าอาจให้เด็กรถขับแทน แต่ก็เปล่า แถมก่อนออกลุงแกยังมัวแต่เช็ดกระจก เช็ดพวงมาลัย เปิดเพลงให้เราฟัง แล้วก็เช็ดต่ออีกอยู่นั่นแหละ กว่าจะออกตัวได้ ฟ้าก็สว่างจนหมดความหมายของการมาดูพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว
ทะเลสาบพุชการ์เล็กกว่าที่คิด ตั้งอยู่หลังตลาดที่พวกเราเพิ่งเดินเที่ยวเมื่อคืน เมื่อเดินเข้าไปเพื่อถ่ายรูป ก็มีชาวบ้านยื่นดอกไม้มาให้ทำบุญ แต่เราเคยอ่านหนังสือท่องเที่ยวมาก่อนแล้วว่า ถ้ารับก็ต้องเสียเงิน พวกเราจึงปฏิเสธไป ซึ่งทำให้ชาวบ้านคนนั้นไม่พอใจ และห้ามพวกเราถ่ายรูป ทั้งที่บริเวณนั้นเป็นที่สาธารณะ พวกเราจึงตัดสินใจเดินออกมา คนขับรถของเราแนะนำให้ลองเดินไปอีกด้าน แต่เหตุการณ์เดิมก็เกิดขึ้นอีก ทำให้เราต้องรีบออกมาโดยไม่ได้ทำบุญเลย ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจจะบริจาคลงกล่องเอง
บริเวณริมทะเลสาบ หากจะเข้าไปต้องถอดรองเท้า เนื่องจากเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดู นักท่องเที่ยวอย่างเราจึงต้องเคารพกฎข้อนี้ด้วย
จากพุชการ์สู่จ๊อดปูร์
เส้นทางจากพุชการ์ไปจ๊อดปูร์ ถนนดีมาก แต่ก็ยังใช้เวลากว่า 5 ชั่วโมง ระหว่างทางเราหยุดพักเข้าห้องน้ำข้างทาง แล้วก็พบกับชาวบ้านใจดีที่ต้ม “จัย” หรือชานมอินเดียให้พวกเราดื่ม ทุกคนลงความเห็นว่า จัยที่นี่หอมหวาน อร่อยมาก เจ้าของบ้านยังพาเราเดินชมบ้านและสวนผักเล็ก ๆ ของพวกเขาด้วย แม้บ้านจะดูเก่า แต่จากขนาดของอาคารที่มีถึง 5-6 ห้อง และอาชีพเย็บผ้าที่ทำอยู่ ก็น่าจะเป็นคนที่มีฐานะพอสมควร
เที่ยวจ๊อดปูร์แบบติดสปีด
เมื่อมาถึงจ๊อดปูร์ เราพักที่โรงแรม Astoria หลังจากอาหารกลางวัน ทัวร์ของเราก็เริ่มขึ้นทันที ที่หมายแรกคือ Umaid Bhawan Palace วันนี้อากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใส น่าจะถ่ายรูปออกมาได้สวย แต่ทั้งไกด์และเพื่อนร่วมทริปเร่งรีบมาก ทำให้แทบไม่มีเวลาเก็บรายละเอียดของวังแห่งนี้เลย
ไกด์บอกว่าวังนี้ตกแต่งแบบ อินโด-โคโลเนียล ปัจจุบันยังเป็นที่พำนักของมหาราชาเมืองนี้ แต่แบ่งบางส่วนเป็นโรงแรมห้าดาว เราเห็นแขกชาวต่างชาตินั่งจิบชายามบ่ายกันอย่างสง่างาม ส่วนที่เปิดให้นักท่องเที่ยวชมคือพิพิธภัณฑ์ แสดงข้าวของเครื่องใช้ของมหาราชา และหนึ่งในเกร็ดที่ไกด์เล่าให้ฟังก็คือ ลูกชายลูกสาวของมหาราชายังโสด! ตอนแรกไม่ได้สนใจ แต่พอเห็นรูปครอบครัวในหนังสือท่องเที่ยวภายหลัง…แหม หน้าตาดีใช้ได้เลยทีเดียว
จากนั้นเรารีบขึ้นรถไปยัง Jaswant Thada อนุสรณ์สถานที่สร้างจากหินอ่อน แต่กว่าจะฟังประวัติได้ครบก็ต้องรีบถ่ายรูปเพราะเวลาจำกัด รู้แค่ว่าเป็นอนุสรณ์ที่ภรรยาสร้างให้สามี
Merangarh Fort และความเสียดายที่ตลาด
จุดหมายต่อไปคือ Merangarh Fort ป้อมปราการอันยิ่งใหญ่ของจ๊อดปูร์ ภายในมีพระราชวังที่ตกแต่งอย่างสวยงาม เราค่อนข้างประทับใจกับที่นี่ เพราะมีระบบการเข้าชมที่ดี นักท่องเที่ยวสามารถเช่าออดิโอไกด์ฟังบรรยายเองได้ การออกแบบและลวดลายแกะสลักนั้นประณีตงดงามมาก อีกหนึ่งไฮไลต์คือ จุดชมวิวบนป้อมปราการ ที่ทำให้เห็น “เมืองสีฟ้า” ของจ๊อดปูร์แบบเต็มตา โดยมี Umaid Bhawan Palace เป็นฉากหลังสุดงดงาม
ขณะที่เรากำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศ พระอาทิตย์เริ่มตก เราหวังจะเก็บภาพความทรงจำเหล่านี้ แต่ไกด์กลับเร่งให้ขึ้นรถไปตลาด เราจึงต้องรีบออกจากป้อมฯ อย่างเสียดายสุด ๆ คิดว่าถ้าคราวหน้ามาเอง คงยอมเสียเวลาที่นี่ให้นานกว่านี้แน่นอน
แต่เมื่อไปถึงตลาด ความผิดหวังก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ที่นี่ไม่ใช่ ตลาดท้องถิ่น อย่างที่เราคิด แต่เป็นร้านค้าที่ไกด์พาไปเพื่อหวังค่าคอมมิชชั่น ราคาสินค้าแพงเกินจริง เราไม่ได้ซื้ออะไรเลย และที่สำคัญคือ เสียโอกาสในการถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกที่ Merangarh Fort ไปด้วย
บทเรียนจากการเที่ยวทัวร์
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เรารู้สึกว่า ต่อไปนี้จะไม่ยอมให้ใครมากำหนดรูปแบบการเที่ยวของเราอีกแล้ว ถ้าอยากถ่ายรูป ก็จะอยู่ถ่าย ไม่ยอมขึ้นรถก่อนแน่นอน เพราะเราเชื่อว่าคนอื่น ๆ ในกลุ่มก็คงอยากเก็บภาพความประทับใจเช่นกัน
หลังอาหารเย็น เราเดินเล่นรอบตลาดแถวโรงแรม กลุ่มของเรากลายเป็นจุดสนใจ เพราะเดินไปไหนก็มีแต่คนมอง พวกเราไม่ได้เข้าร้านขายของนักท่องเที่ยวใหญ่โต แต่กลับสนุกกับร้านชำเล็ก ๆ และของใช้พื้นเมือง บรรยากาศแบบนี้ให้ความรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเองมากกว่าการถูกไกด์ลากไปร้านแพง ๆ เสียอีก
สุดท้าย แม้วันนี้จะเต็มไปด้วยความเร่งรีบและความเสียดาย แต่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่สอนให้เรารู้ว่า การเดินทางที่ดีที่สุด คือการเดินทางในแบบของตัวเอง






Leave a Reply