Nim Journey

A Legend of Travel

Posted in , ,

เช้าวันนี้เราเริ่มต้นที่ร้าน VATIKA ซึ่งเป็นร้านเดียวกับที่เราทานอาหารเย็นเมื่อคืน บรรยากาศอบอุ่น อาหารเช้าเป็นขนมปังปิ้ง ไข่ดาว เรียบง่ายแต่ช่วยเติมพลังให้พร้อมสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในเดลี

แผนเดิมของเรากับ Javed คือจะไปเกือบสิบจุดภายในวันเดียว แต่ฉันรู้ดีว่ามันแทบเป็นไปไม่ได้ ทว่าด้วยความที่เป็นทริปแรก ทุกอย่างดูน่าสนใจไปหมด ไม่มีใครรู้ว่าอะไรสำคัญจริง ๆ เราจึงต้องเดินหน้าตามแผนเดิมอย่างไม่มีทางเลือก พวกเราแยกขึ้นรถสองคัน คันละหกคน และเริ่มต้นวันกันที่:

Birla Mandir / Laxmi Narayan Temple
วัดฮินดูอันงดงามที่สร้างขึ้นในปี 1938 อุทิศให้พระนางลักษมีและพระนารายณ์ ตัววัดเป็นสถาปัตยกรรมแบบ Orissan style มีเทพเจ้าหลายองค์ประดิษฐานให้ประชาชนกราบไหว้ สถานที่เงียบสงบและเต็มไปด้วยพลังศรัทธา

Gurdwara Bangla Sahib
วัดซิกข์ที่สำคัญในเดลี ตั้งอยู่ที่ Baba Kharak Singh Marg วัดนี้ไม่เพียงแต่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวซิกข์ แต่ยังเปิดให้ทุกคนเข้ามารับอาหารฟรี ภายในมีสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อว่าสามารถรักษาโรคได้ ที่นี่เคยเป็นที่พำนักของ Raja Jai Singh ผู้นำทหารในสมัยกษัตริย์ออรังเซป และยังเป็นสถานที่ที่ Guru Sri Harkishan ให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างมากมาย

Parliament
เราขับรถผ่านบริเวณรัฐสภา แม้จะไม่ได้แวะลงไปแต่ก็ได้เห็นกลุ่มอาคารแบบอังกฤษที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเนิน ความยิ่งใหญ่และสง่างามของที่นี่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์และอำนาจการปกครองของอินเดียได้เป็นอย่างดี

India Gate
ประตูอินเดีย สัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงทหารอินเดียที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1 รอบ ๆ เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ เด็ก ๆ เล่นคริกเก็ตกันอย่างสนุกสนาน ให้ความรู้สึกเหมือนสนามเด็กเล่นที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา

Humayun’ s Tomb
อนุสรณ์สถานที่ได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างทัชมาฮาล สร้างในปี 1565 ด้วยหินทรายสีแดงโดย Haji Begum ให้กับกษัตริย์หุมายัน ภายในเป็นสวนโมกุลที่งดงาม มีเส้นทางเดินน้ำและดอกไม้ประดับให้ความรู้สึกสงบและร่มรื่น

Jama Masjid
มัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย เริ่มสร้างในปี 1650 โดยจักรพรรดิ์ Shah Jahan ใช้แรงงานกว่า 5,000 คน และใช้เวลากว่า 6 ปีจึงแล้วเสร็จ เราเดินขึ้นบันได 122 ขั้นไปยังจุดชมวิว แม้ต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่ม แต่ก็คุ้มค่าเพราะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเดลีได้กว้างไกล

Red Fort
เราไม่มีเวลาเข้าไปชมภายในตามที่คาดไว้ น่าเสียดายที่ต้องข้ามมันไปเพราะต้องรีบกลับโรงแรมอาบน้ำและเช็คเอาท์ก่อนห้าโมงเย็น เพื่อเตรียมตัวขึ้นรถบัสไปจัมมูในเวลา 18:00 น.

เหตุการณ์วุ่นวายที่จุดรอรถบัส

ระหว่างรอรถบัสประมาณ 30 นาที เราได้เจอ “หนุ่มเสื้อเหลือง” คนที่ในภายหลังกลายเป็นบุคคลสำคัญของกลุ่มเรา เมื่อรถบัสมาถึง พวกเรารีบนำกระเป๋าเก็บใต้ท้องรถ แต่เมื่อรถวิ่งไปได้สักพัก มันจอดให้คนลงและขึ้นเพิ่มเติม นั่นเป็นจังหวะที่ฉันและพี่จุ๋มสังเกตเห็นว่าพนักงานรถกำลังขนกระเป๋าเดินทางของพวกเราลงทั้งหมดอย่างน่าสงสัย!

รุ่งรีบลงไปถาม แต่พนักงานทำเป็นไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ ผู้โดยสารรอบข้างดูเหมือนจะกังวลแทนเรา แต่ไม่มีใครรู้ว่าควรช่วยยังไง ในจังหวะนั้น “หนุ่มเสื้อเหลือง” ของเราก้าวเข้ามา เขาเป็นคนอินเดียที่สามารถช่วยเจรจาให้เราได้ เขาถามไปยังพนักงานและคนขับ แต่คำตอบที่ได้ช่างน่าหัวเราะ พวกเขาบอกว่ากระเป๋าเราไม่มีหมายเลขตั๋วติดไว้ จึงต้องเอาลง แต่กลับเสนอให้เราจ่ายค่าขนกระเป๋าใบละ 5 รูปี รวมเป็น 60 รูปี (~55 บาท) ซึ่งแน่นอนว่าเรายอมจ่ายเพื่อจบปัญหาไป

แม้ทุกอย่างจะคลี่คลาย รถบัสออกเดินทางต่อ แต่ “หนุ่มเสื้อเหลือง” ของเรากลับต้องลงจากรถ เพราะเขาขึ้นผิดคัน ทั้ง ๆ ที่เป็นคนอินเดียแท้ ๆ ยังสับสนกับระบบรถบัสของตัวเอง แล้วพวกเราเป็นนักท่องเที่ยวจะไปเข้าใจได้ยังไง? รุ่งได้เบอร์โทรของเขาไว้ หวังว่าเธอจะได้ติดต่อไปขอบคุณเขาในภายหลัง

บทเรียนจากอินเดีย

เรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า หากเดินทางในอินเดีย ต้องให้ความสำคัญกับสัมภาระของตัวเอง ตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนเดินทางเสมอ ไม่เช่นนั้นอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ การเดินทางครั้งนี้ทำให้ฉันระแวงระบบขนส่งของอินเดียมากขึ้น และเข้าใจว่าการเดินทางที่นี่ไม่ง่ายอย่างที่คิด

คืนนี้เรานอนบนรถบัส ใช้เวลาเดินทาง 12-13 ชั่วโมงไปถึงจัมมูตอนเช้า หวังว่าเส้นทางข้างหน้าจะราบรื่นกว่านี้!

Leave a Reply

เว็บนี้ใช้ Akismet เพื่อลดสแปม. เรียนรู้ว่าข้อมูลแสดงความเห็นของคุณถูกประมวลผลอย่างไร.

สมัครเป็นสมาชิก

Enter your email below to receive updates.